กรุงเทพฯ--3 ก.ย.--เดอะเวย์ คอมมิวนิเคชั่น
"ดู เดย์ ดรีม" เผยครึ่งปีหลังมีการปรับกลยุทธ์รองรับรายได้บริษัทที่ชะลอตัวลง จากจำนวนจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่ปรับตัวลดลง เผยปรับเป้ารายได้ปี 2562 เป็น 1,000 ล้านบาท และปรับแผนลุยช่องทางการขายแบบดั้งเดิม ส่วนแผนการเข้าซื้อกิจการคาดว่าจะชัดเจนภายในสิ้นปีนี้ พร้อมเดินหน้าศึกษาการขยายตลาดไปยังกลุ่มประเทศอาเซียน เพื่อเสริมโอกาสการเติบโตในอนาคต
นายปิยวัชร ราชพลสิทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานบัญชีและการเงิน บริษัท ดู เดย์ ดรีม จำกัด (มหาชน) หรือ DDD เจ้าของแบรนด์ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวสเนลไวท์ เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วงครึ่งแรกไม่เป็นไปตามคาด เนื่องจากได้รับผลกระทบจากนักท่องเที่ยวที่ชะลอตัวลง และในช่วงไตรมาส2/62 ที่ผ่านมา บริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณายกเลิกสัญญากับผู้กระจายสินค้าในช่องทางการขายแบบดั้งเดิม ทำให้รายได้จากการขยายช่องทางการจำหน่ายดังกล่าวลดลง
อย่างไรก็ตามแนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังจะเติบโตกว่าช่วงครึ่งปีแรก เนื่องจากมีการปรับแผนการจำหน่ายโดยเน้นกลุ่มลูกค้ามากขึ้น ประกอบกับการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ในช่วงปลายไตรมาส2/62 ซึ่งจะเป็นปัจจัยช่วงสนับสนุนผลการดำเนินงานให้มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง
สำหรับแผนการเข้าซื้อกิจการธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ในขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างเจรจา ซึ่งคาดว่าจะสามารถได้ข้อสรุปภายในปลายปีนี้ประมาณ 1 ราย และบริษัทยังมีแหล่งเงินทุนเพียงพอสำหรับการลงทุนครั้งนี้ เนื่องจากบริษัทมีเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) ที่เหลืออยู่ประมาณ 2,400 ล้านบาท เพื่อรองรับการลงทุนดังกล่าว
ขณะที่แผนการขยายธุรกิจในต่างประเทศ บริษัทได้มีการขยายตลาดในประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งได้เริ่มเข้าไปทำการตลาดในประเทศฟิลิปปินส์เมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา และผลิตภัณฑ์ของสเนลไวท์ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าในประเทศฟิลิปปินส์ ทำให้บริษัทคาดว่าปีนี้จะมีรายได้จากประเทศฟิลิปปินส์มากกว่า 100 ล้านบาท
พร้อมกันนี้บริษัทยังอยู่ระหว่างศึกษาการขยายตลาดในกลุ่มประเทศอาเซียน เพื่อสนับสนุนแผนการขยายตลาดในต่างประเทศ เพื่อส่งเสริมผลการดำเนินงานในอนาคตให้มีการเติบโตอย่างมั่นคง
สำหรับรายได้ในปี 2562 บริษัทคาดว่าจะอยู่ที่ 1,000 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากสาเหตุที่กล่าวถึงในข้างต้น อย่างไรก็ตามบริษัทวางแผนออกผลิตภัณฑ์ใหม่ในปีนี้ทั้งสิ้น 8 ผลิตภัณฑ์ พร้อมทั้งมีแผนออกผลิตภัณฑ์ใหม่ภายใต้แบรนด์เดิม และบริษัทยังวางแผนขยายช่องทางการจัดจำหน่าย โดยเฉพาะช่องทางการขายแบบดั้งเดิม (Traditional Trade) ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ เพื่อเพิ่มจุดจำหน่ายสินค้าได้มากขึ้น