กรุงเทพฯ--11 ก.ย.--กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวภายหลังตัวแทนกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงโคเนื้อ จาก 18 จังหวัด อาทิ ขอนแก่น บุรีรัมย์ นครราชสีมา สุรินทร์ ศรีษะเกษ ฯลฯ จำนวน 100 คน จาก 1,500 คนที่รอบริเวณหน้ากระทรวงฯ เข้าพบเพื่อแสดงความขอบคุณที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งดำเนินโครงการโคขุนสร้างรายได้ พร้อมทั้งรับฟังแนวทางการดำเนินงานขับเคลื่อนโครงการฯ และแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นร่วมกัน ณ ห้องประชุม 115 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีความเป็นห่วงพี่น้องเกษตรกรพร้อมสั่งการให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งแก้ไขปัญหาความยากจนโดยเร่งด่วน ดังนั้น จึงได้หารือร่วมกับ กรมปศุสัตว์ กรมการข้าว และกรมส่งเสริมการเกษตร พร้อมทั้งประสานความร่วมมือกับกรมทรัพยากรน้ำบาดาล กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อหาแนวทางช่วยเหลือเกษตรกรและส่งเสริมอาชีพให้มีรายได้ โดยจะเตรียมเสนอครม. ใน 4 โครงการ ดังนี้ 1) โครงการส่งเสริมปลูกถั่วเขียว เป้าหมายเกษตรกรเข้าร่วมโครงการ 50,000 ราย ประกันราคา 30 บาท พื้นที่ 500,000 ไร่ 2) ส่งเสริมผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพ เนื่องจากเมล็ดพันธุ์ขณะนี้ไม่เพียงพอและเกิดความเสียหาย จึงต้องเร่งผลิตเมล็ดพันธุ์ที่ดีเพื่อเป็นต้นน้ำให้กับเกษตรกร เป้าหมายเกษตรกรเข้าร่วม 50,000 ราย เพิ่มเมล็ดพันธุ์ 200,000 ตัน 3) ส่งเสริมการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เกษตรกรเข้าร่วม 100,000 ราย
สำหรับโครงการที่ 4 โครงการโคขุนสร้างรายได้ ระยะเวลาดำเนินการ 5 ปี (2563 - 2567) วัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างรายได้ สร้างอาชีพทางเลือกใหม่ โดยการปรับเปลี่ยนพื้นที่ไม่เหมาะสมมาเลี้ยงโคขุนเพิ่มผลผลิตโคเนื้อให้เพียงพอต่อความต้องการ เป้าหมาย 1,000,000 ตัว / 200,000 ราย (รอบที่ 1 : 500,000 ตัว/ 100,000 ราย รอบที่ 2 : 500,000 ตัว/ 100,000 ราย) น้ำหนักวัว 230-250 กก. โดยใช้เงินกู้ ธ.ก.ส. อัตราดอกเบี้ย 4% เกษตรกรจ่าย 1% รัฐบาลสมทบ 3% เงินกู้รายละ 164,200 บาทต่อราย เป็นค่าโค 120,000 บาท (5 ตัวๆ ละไม่เกิน 24,000 บาท) ค่าอาหารผสมเสร็จ (TMR) 43,200 บาท และสมทบค่าประกันภัยโค 1,000 บาท (สมทบกับรัฐบาลจ่ายให้อีกครึ่งหนึ่ง) อีกทั้งรัฐสนับสนุน ค่าชดเชยดอกเบี้ย 3% ค่าประกันภัย 1,000 เครื่องผสมอาหาร และเครื่องชั่งน้ำหนัก ในสัดส่วนเกษตรกร 100 รายหรือโค 500 ตัวต่อ 1 ชุด และจำหน่ายตัวละ 42,000 บาท เฉลี่ยน้ำหนัก 420 กก.ๆ ละ 100 บาท กำไรประมาณ 8,000 /ตัว/4 เดือน หรือ 40,252 บาท/5ตัว/4 เดือน อีกทั้ง เกษตรกรจะได้รับการฝึกอบรมการเลี้ยงโคขุนก่อนเลี้ยงโค นอกจากนี้ กรมทรัพยากรน้ำบาดาล จะเข้ามาช่วยเหลือขุดน้ำบาดาลพลังงานแสงอาทิตย์ 1 จุด/100 ไร่ เพื่อส่งเสริมปลูกหญ้าสำหรับผสมอาหาร รวมถึง องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อตก.) จะเข้ามาช่วยทำการตลาดอีกด้วย
"กระทรวงเกษตรฯ จะเร่งหารือร่วมกันอีกครั้งเพื่อให้ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน ก่อนนำเสนอรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน) ให้เห็นชอบ และนำเสนอในที่ประชุม ครม. ต่อไป ซึ่งทั้ง 4 โครงการต้องการมุ่งมั่นแก้ไขปัญหาความยากจนของพี่น้องเกษตรกร และส่งเสริมอาชีพให้เกษตรกรมีความมั่นคง คาดว่าหลังน้ำลดจะเริ่มดำเนินการได้ สำหรับการส่งออกโคเนื้อไปจีนนั้น ขณะนี้จีนมีความต้องการเนื้อวัวมากถึง 10 ล้านตัน หรือวัวไม่น้อยกว่า 50 ล้านตัว ทำให้มั่นใจได้ว่ามีตลาดรองรับ อีกทั้งได้มีการตกลงร่วมกันกับจีนที่จะรับซื้อโคเนื้อจากไทย โดยได้ให้เจ้าหน้าที่กรมปศุสัตว์ ลงพื้นที่สำรวจโรงงานจากจีนว่าสามารถส่งออกได้จริงหรือไม่ และพบว่ามีการเริ่มสร้างโรงเชือดที่เป็นมาตรฐาน จากกลุ่มเอกชนจีน ที่ประเทศลาว คาดว่า เดือน ต.ค.-พ.ย. จะแล้วเสร็จและเริ่มส่งออกได้ทันที" นายประภัตร กล่าว