กรุงเทพฯ--20 ก.พ.--มาสเตอร์ มายด์ คอมมิวนิเคชั่นส์
นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ คณะรัฐประศาสนศาสตร์ นิด้า แนะรัฐบาลเร่งฟื้นฟูความเชื่อมั่นทั้งในและต่างประเทศ พุ่งเป้ากระตุ้นธุรกิจท่องเที่ยวซึ่งเป็นจุดแข็งของประเทศ ติงนโยบายประชานิยมทั้งกองทุนหมู่บ้านและพักหนี้เกษตรกร หวั่นก่อให้เกิดปัญหาหนี้สิน ชี้ต้องทำอย่างถูกวิธีถึงได้ผลสัมฤทธิ์
รศ.ดร.มนตรี โสคติยานุรักษ์ รองคณบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา คณะรัฐประศาสนศาสตร์ (GSPA) สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ หรือ นิด้า ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์การเงินการคลัง กล่าวถึงนโยบายของรัฐบาลโดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจว่า รัฐบาลต้องเร่งฟื้นฟูและสร้างความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ เพราะที่ผ่านมา ความเชื่อมั่นของนักลงทุนได้หายไป จากการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของไทย ดังนั้น รัฐบาลจะต้องสร้างบรรยากาศของการลงทุนให้เกิดขึ้น เพื่อส่งเสริมให้เกิดการลงทุน ที่จะส่งผลต่อการจ้างงานในประเทศและต่อเนื่องไปถึงการบริโภค
ขณะเดียวกัน รัฐบาลยังต้องเร่งส่งเสริมภาคการผลิตและการท่องเที่ยว โดยปรับปรุงภาคผลิตให้เกิดมูลค่าเพิ่มที่มากขึ้น จากอดีตที่ผ่านมา ซึ่งประเทศไทยมักจะส่งออกส่งสินค้าหรือผลิตสินค้าที่ไม่มีมูลค่าเพิ่มมากนัก ทำให้บางครั้งได้กำไรน้อย ไม่คุ้มค่ากับการผลิตและส่งออก อย่างเช่น สินค้าทางการเกษตร ที่จะเน้นเพียงการส่งออกพืชผล โดยไม่นิยมการแปรรูป นี่เป็นส่วนหนึ่งที่รัฐบาลแถลงแล้วว่า ต้องการส่งเสริม เพื่อเพิ่มศักยภาพของการผลิตและบริการให้เกิดมูลค่าเพิ่มมากขึ้น ให้สามารถแข่งขันได้ในระดับสากล เพราะต้องยอมรับว่า เรามีคู่แข่งมากขึ้นและคู่แข่งก็เข้มแข็งขึ้น
“ในส่วนของการท่องเที่ยวนั้น นับว่ามีความสำคัญอย่างมาก เนื่องจากรายได้ที่เกิดจากการท่องเที่ยวมีมูลค่ามหาศาลถึงปีละ 5 แสนล้านบาทหรือคิดเป็น 8 % ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ขณะที่การขับเคลื่อนการท่องเที่ยวก็ใช้ต้นทุนที่น้อยมาก เพราะประเทศไทยมีทรัพยากรด้านการท่องเที่ยวมากอยู่แล้ว และธุรกิจการท่องเที่ยวจัดเป็นธุรกิจบริการที่คนไทยมีความได้เปรียบ ดังนั้น รัฐบาลจึงต้องกำหนดยุทธวิธีในการดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ รวมทั้งหากิจกรรมเสริมควบคู่ไปกับการท่องเที่ยว เช่น สปาหรือนวดแผนไทย เพื่อเป็นการเพิ่มรายได้ให้ประเทศ” รศ.ดร.มนตรี กล่าว
รศ.ดร.มนตรี ยังกล่าวถึงปัญหาความยากจนซึ่งเป็นปัญหาพื้นฐานของประเทศด้วยว่า การแก้ปัญหาความยากจนต้องใช้เวลาพอสมควร แต่หากรัฐบาลจัดเป็นนโยบายเร่งด่วนได้ก็นับเป็นเรื่องที่ดี เพราะนับตั้งแต่ปี 2529 เป็นต้นมา แม้เศรษฐกิจของประเทศไทยจะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง มีการกระจายรายได้ที่แย่ลง โดยพื้นที่ที่มีรายได้สูงๆ กระจุกอยู่ตามหัวเมืองใหญ่ หรือในเขตกรุงเทพมหานครเท่านั้น
เกี่ยวกับเรื่องนี้ รัฐบาลควรเน้นการเพิ่มรายได้ และลดรายจ่ายให้ประชาชน โดยเน้นการเพิ่มศักยภาพของการสร้างรายได้ พัฒนาและสร้างโอกาสของการเพิ่มรายได้ ไม่ว่าจะเป็นเกษตรกร ผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและย่อม (SME) เชื่อมโยงไปถึงการส่งเสริมและการพัฒนา SME ให้มีศักยภาพในทุกๆ ด้าน รวมทั้งส่งเสริมให้ประชาชนมีวินัยทางการเงิน ซึ่งนับว่าเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหาความยากจน
“รัฐบาลอาจมองว่า การส่งเสริมกองทุนหมู่บ้านเพื่อให้เกิดธุรกรรมด้านการเงิน เป็นปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แต่ในระยะยาวจะต้องระวังให้การใช้เงินของกองทุนหมู่บ้านถูกนำไปใช้อย่างถูกทาง เพื่อนำไปประกอบธุรกิจ เช่นเดียวกับการพักหนี้เกษตรกร ที่ต้องเน้นการส่งเสริมให้ถูกวิธี ให้เข้าใจว่าเป็นการพัก เพื่อให้มีเม็ดเงินไปลงทุนต่อ ไม่ใช่พักแล้วไม่ต้องชำระหนี้ เพราะหากเกิดการเข้าใจผิดก็จะก่อให้เกิดปัญหาต่อระบบของสถาบันทางเงินเหมือนที่ผ่านมา” รศ.ดร.มนตรีกล่าว
สุดท้ายเป็นเรื่องของการลงทุนในโครงการใหญ่อย่างเมกะโปรเจ็คท์ ไม่ว่าจะเป็นโครงการ รถไฟฟ้ารางคู่ รถไฟชานเมือง หรือรถไฟฟ้าความเร็วสูง และการพัฒนาสนามบิน ซึ่งจะเป็นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ที่จะสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ในระยะยาว ทั้งนี้ รัฐบาลอาจไม่จำเป็นต้องลงทุนเอง เพราะจะก่อให้เกิดภาระหนี้สิน แต่อาจใช้วิธีการร่วมทุนกับภาคเอกชนโดยมีกฎหมายรองรับอย่างถูกต้อง โดยจะมีพระราชบัญญัติร่วมทุนที่คาดว่าจะถูกนำเสนอต่อสภาฯ ที่สามารถรองรับตรงนี้ได้
ข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ : คุณกฤติยาพร พลตรี (บุ๋ม)
บริษัทมาสเตอร์ มายด์ คอมมิวนิเคชั่นส์ จำกัด ในนาม คณะรัฐประศาสนศาสตร์ (GSPA) นิด้า
โทรฯ 02-643-1191 ต่อ 26 มือถือ 08-9636-8414 E-mail address : kritiya_kpp@yahoo.com