กรุงเทพฯ--13 ก.ย.--กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานพิธีเปิดโครงการ "การสร้างการรับรู้นโยบายด้านการเกษตรของรัฐบาลผ่านสถาบันเกษตรกร" และปาฐกถาพิเศษ "ภาพรวมนโยบายด้านการเกษตรของรัฐบาล" ณ อาคารอิมแพคฟอรั่ม เมืองทองธานี โดยมีผู้บริหารกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ผู้นำสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรที่ดำเนินธุรกิจด้านยางพารา ปาล์มน้ำมัน โคนมและโคเนื้อ เกือบ 2,000 คน เข้าร่วมรับฟังเพื่อสร้างการรับรู้นโยบายด้านการเกษตรส่งผ่านสถาบันเกษตรกร โดยมีนางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ และนายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมชี้แจงนโยบายด้านการเกษตรภายใต้ภารกิจของหน่วยงานที่กำกับดูแลด้วย
นายเฉลิมชัย กล่าวว่า รัฐบาลได้ให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาของเกษตรกร รวมถึงการพัฒนาภาคการเกษตร อาทิ การรักษาเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตรและรายได้ให้กับเกษตรกร ในสินค้าเกษตรที่สำคัญ ได้แก่ ข้าว ยางพารา มันสำปะหลัง ปาล์มน้ำมัน อ้อย และข้าวโพด โดยผ่านเครื่องมือและมาตรการที่เหมาะสม มีประสิทธิภาพ จัดให้มีระบบการประกันภัยสินค้า การพัฒนาระบบตลาดที่เชื่อมโยงผลการผลิตของเกษตรกรถึงผู้ประกอบการแปรรูปและผู้บริโภคอย่างเป็นธรรม การใช้เทคโนโลยีและเครื่องมือในการขยายและเข้าถึงตลาดในรูปแบบต่าง ๆ การอำนวยความสะดวกทางการค้า และการพัฒนาระบบโลจิสติกส์การเกษตรที่มีประสิทธิภาพ การลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตที่เหมาะสม การพัฒนาองค์กรเกษตรกรและเกษตรกรรุ่นใหม่ โดยเพิ่มทักษะการประกอบการและพัฒนาความเชื่อมโยงของกลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และสหกรณ์ในทุกระดับ โดยเฉพาะด้านการตลาด การค้าออนไลน์ ระบบบัญชี เพื่อขยายฐานการผลิตและฐานการตลาดของสถาบันเกษตรกรให้เข้มแข็ง มีความสามารถในการแข่งขัน การส่งเสริม การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเกษตร เพื่อยกระดับรายได้และคุณภาพชีวิตให้กับเกษตรกร การดูแลเกษตรกรผู้มีรายได้น้อยให้สามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ในที่ดินทำกิน แหล่งเงินทุน โครงสร้างพื้นฐาน และปัจจัยการผลิตต่าง ๆ การส่งเสริมการปลูกไม้มีค่าเป็นพืชเศรษฐกิจ การส่งเสริมการทำปศุสัตว์ให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น และการฟื้นฟูและสนับสนุนอาชีพการทำประมงให้เกิดความยั่งยืนบนพื้นฐานของการรักษาทรัพยากรทางการประมงและทรัพยากรทางทะเลให้มีความสมบูรณ์อย่างต่อเนื่อง
สำหรับนโยบายการพัฒนาภาคการเกษตรดังกล่าว รัฐบาลได้อนุมัติมาตรการต่าง ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การขับเคลื่อนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นรูปธรรม ได้แก่ การประกันรายได้เกษตรกร ในสินค้าเกษตรที่สำคัญ คือ ข้าว ปาล์มน้ำมัน ซึ่งได้ดำเนินการแล้ว ในส่วนของยางพารา มันสำปะหลัง และข้าวโพด ซึ่งจะเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว การพัฒนาระบบการตลาดสินค้าเกษตร การลดต้นทุน และเพิ่มรายได้ มุ่งเป้าผลักดันการส่งออกสินค้าเกษตรเป้าหมาย 5 รายการ ได้แก่ ข้าว มันสำปะหลัง ยางพารา ปาล์มน้ำมัน และสินค้าเกษตรอื่น ๆ ให้ได้มากที่สุด
ทั้งนี้ มาตรการการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ในปีการผลิต 2562/63 สำหรับชาวนาผู้ปลูกข้าวที่ขึ้นทะเบียนแล้ว 862,176 ครัวเรือนทั่วประเทศ ซึ่งรัฐบาลประกาศประกันราคาข้าว 5 ประเภท ได้แก่ ข้าวเปลือกหอมมะลิ ตันละ 15,000 บาท ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ตันละ 14,000 บาท ข้าวเปลือกเจ้าตันละ 10,000 บาท ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ตันละ 11,000 บาท และข้าวเปลือกเหนียว ตันละ 12,000 บาท
นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีโครงการที่อยู่ระหว่างการจัดทำรายละเอียด ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมปลูกพืชตระกูลถั่ว เพื่อส่งเสริมการปลูกพืชระยะสั้นโดยจะแจกเมล็ดพันธุ์ฟรี การส่งเสริมให้เลี้ยงโคขุน โดยจะมีวงเงินสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำให้เกษตรกรกู้ไปลงทุน และรัฐบาลจัดงบประมาณชดเชยส่วนต่างดอกเบี้ยให้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และจะเร่งดำเนินการมาตรการต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือภาคการเกษตรที่ประสบภัยพิบัติในรูปแบบต่าง ๆ อาทิ การบรรเทาค่าครองชีพให้กับเกษตรกรที่ประสบภัยแล้ง และการบรรเทาความเสียหายจากอิทธิพลพายุโพดุล เป็นต้น
"การจัดโครงการ "สร้างการรับรู้นโยบายด้านการเกษตรของรัฐบาลผ่านสถาบันเกษตรกร" ในครั้งนี้ถือว่าเป็นโอกาสดีที่เกษตรกรจะทราบและรับรู้นโยบายของรัฐบาลด้านการเกษตรที่รัฐบาลได้เข้าไปช่วยเหลือพี่น้องชาวเกษตรกร ซึ่งการขับเคลื่อนนโยบายและมาตราการต่าง ๆ ของรัฐบาล กลไกสหกรณ์ และกลุ่มเกษตรกร ซึ่งเป็นสถาบันเกษตรกรที่มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อน รวมถึงการถ่ายทอดข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายและมาตรการของรัฐบาลไปยังเกษตรกรที่เป็นสมาชิก เพื่อเตรียมความพร้อมในการรองรับมาตรการต่าง ๆ ของรัฐบาล เพื่อร่วมกันยกระดับภาคการเกษตรให้มีความเข้มแข็ง และพัฒนาคุณภาพชีวิตของเกษตรกรให้ก้าวพ้นจากความยากจน " นายเฉลิมชัย กล่าว