กรุงเทพฯ--20 ก.ย.--กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง
เมื่อวันที่ 12 ก.ย. 62 นายจตุพร บุรุษพัฒน์ อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กล่าวว่า ตามนโยบายของนายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ที่เน้นย้ำให้กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการดูแลป้องกันรักษาทรัพยากรป่าชายเลน โดยมุ่งปฏิบัติการบังคับใช้กฎหมายกับกลุ่มนายทุนที่ยึดครองที่ดินผิดกฎหมาย เพื่อนำพื้นที่กลับมาฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมให้กลับมาอุดมสมบูรณ์
โดยตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 – 2562 กรม ทช. สามารถดำเนินการทวงคืนพื้นที่ป่าชายเลนทั่วประเทศ ส่งดำเนินคดีจำนวน 1,276 คดี เนื้อที่รวม 52,704.95 ไร่ ผู้ต้องหารวม 451 ราย ในส่วนของพื้นที่ป่าชายเลน ภาคตะวันออกสามารถตรวจยึดจับกุม ส่งดำเนินคดีได้จำนวน 429 คดี เนื้อที่รวม 27,480.41 ไร่ ผู้ต้องหารวม 140 ราย
หลังจากที่กรม ทช. ดำเนินการยึดคืนพื้นที่ป่าชายเลนกลับมาแล้วได้ทำการปลูกฟื้นฟูป่าชายเลนทั่วประเทศไปแล้วทั้งสิ้น จำนวน 31,829.33 ไร่ โดยในพื้นที่ป่าชายเลนภาคตะวันออก ประกอบด้วยจังหวัดระยอง จันทบุรี และตราด ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของสำนักงานบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 1 ได้ดำเนินการปลูกฟื้นฟูป่าชายเลนโดยใช้งบประมาณที่ได้รับการจัดสรรจำนวน 7,217.38 ไร่ และปลูกโดยวิธีประชาอาสา จำนวน 10,851 ไร่รวมทั้งสิ้น 18,032.38 ไร่ พร้อมทั้งจะเดินหน้าเร่งฟื้นฟูป่าชายเลนของไทยให้กลับมามีความอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง
อธิบดี ทช. กล่าวต่อว่าแม้ประเทศไทยจะมีพื้นที่ป่าชายเลนเหลืออยู่ประมาณ 1.5 ล้านไร่ แต่ก็มีพื้นที่ป่าชายเลนมากเป็นอันดับที่ 11 ของโลกซึ่งประโยชน์ของระบบนิเวศป่าชายเลนมีประโยชน์มากมาย เพราะป่าชายเลน หญ้าทะเล และแนวปะการัง ทำหน้าที่ในการป้องกันการกัดเซาะของชายฝั่งทะเลลดการสูญเสียเมื่อเกิดอุทกภัย ป่าชายเลนยังเป็นแหล่งการขยายพันธุ์และอนุบาลสัตว์น้ำ
ชาวบ้านได้ประโยชน์จากการทำประมง และครอบคลุมถึงประโยชน์ในด้านการดูดซับและกักคาร์บอน หากประเทศไทยสูญเสียป่าชายเลนระบบนิเวศถูกทำลายหรือเสื่อมสภาพ มนุษย์เองก็จะได้รับผลกระทบเช่นกัน
ดังนั้นภารกิจป้องกันไม่ให้มีการบุกรุกพื้นที่ป่าชายเลนจึงสำคัญเป็นอย่างมากเกี่ยวกับการฟื้นฟูสภาพป่าชายเลนซึ่งอาจมีการปลูกเสริมในส่วนที่เสื่อมโทรมไป หรือปลูกทดแทนส่วนที่ถูกทำลาย ทั้งนี้ กรม ทช. ได้เดินหน้าจัดสรรงบประมาณเพื่อปลูกเสริม โดยมีภาคเอกชนร่วมจัดทำซีเอสอาร์ในหลายๆ พื้นที่แต่การฟื้นฟูต้องเป็นลักษณะค่อยเป็นค่อยไปขึ้นอยู่กับงบประมาณแผ่นดินที่ได้รับรวมถึงหน่วยงานภาคเอกชนที่สนใจจะสนับสนุนการฟื้นฟูสภาพพื้นที่ป่าชายเลนในแต่ละปี แต่สิ่งสำคัญคือการสร้างแนวร่วมในการปลูกป่าชายเลนในพื้นที่ต่างๆ อย่างน้อยก็จะช่วยให้ป่าชายเลนสามารถฟื้นฟูเพิ่มมากขึ้นในแต่ละปี ขณะเดียวกันการฟื้นฟูไม่ใช่เพียงแค่เอาต้นกล้าไปปักแล้วถ่ายรูปแต่เราต้องคำนึกถึงอัตราการรอดของกล้าไม้เหล่านั้นด้วยซึ่งภารกิจตรงนี้ชุมชนในพื้นที่จึงมีส่วนสำคัญเป็นอย่างมาก "อธิบดี ทช.
กล่าวทิ้งท้าย"