กรุงเทพฯ--20 ก.ย.--เอ็น.ดี.รับเบอร์
บมจ.เอ็น.ดี.รับเบอร์ หรือ NDR เผยกลยุทธ์ในครึ่งปีหลัง เดินหน้าลุยเจาะตลาดทั้งในและต่างประเทศ อาทิ เวียดนาม อินโดนีเซีย กัมพูชา ลาว และมาเลเซีย หวังผลักดันผลงานทั้งปีพลิกเป็นกำไร หลังงวด 6 เดือนแรกขาดทุนราว 5 ลบ. เชื่อผ่านจุดต่ำสุดในไตรมาส 1/2562 แล้ว โดยผลประกอบการในไตรมาส 2/2562 มีรายได้ 221.13 ลบ.เพิ่ม 13.82% จากไตรมาสก่อน ขณะที่มีขาดทุนลดลงเหลือเพียง 0.16 ลบ. พร้อมคาดปีนี้ทำรายได้ที่ 900 ลบ.
นายชัยสิทธิ์ สัมฤทธิวณิชชา กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ดี. รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NDR กล่าวว่า แผนกลยุทธ์ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ บริษัทฯ จะเร่งเพิ่มยอดขายทั้งในประเทศและต่างประเทศ อาทิ เวียดนาม อินโดนีเซีย กัมพูชา ลาว และมาเลเซีย นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมุ่งเน้นบริหารจัดการด้านต้นทุนให้มีประสิทธิภาพ เพื่อผลักดันผลประกอบการปีนี้กลับมาเป็นบวกได้ จากงวด 6 เดือนแรกที่มีผลขาดทุนอยู่ที่ประมาณ 5 ล้านบาท โดยคาดว่ารายได้ในปีนี้น่าจะอยู่ที่ประมาณ 900 ล้านบาท
"เราเชื่อว่าผลประกอบการได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วเมื่อไตรมาส 1/2562 ที่ผ่านมา และสถานการณ์เริ่มดีขึ้นในไตรมาส 2/2562 สะท้อนจากผลประกอบการที่ขาดทุนลดลงเหลือเพียง 160,000 บาท ซึ่งในช่วงที่เหลือของปีนี้ เราจะพยายามทำอย่างเต็มที่ เพื่อให้ผลประกอบการในปีนี้พลิกกลับมาเป็นกำไรอีกครั้ง" นายชัยสิทธิ์ กล่าว
ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้ลงทุนปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตภายในโรงงานให้เป็นระบบออโตเมชั่น เพื่อลดต้นทุนค่าใช้จ่ายด้านแรงงาน ซึ่งส่งผลชัดเจนทำให้บริษัทฯ มีความสามารถในการทำกำไรเพิ่มขึ้น รวมถึงเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งขณะนี้ได้ดำเนินการติดตั้งปรับเป็นระบบออโตเมชั่นแล้วทั้งสิ้น 3 จุด โดยคาดว่าจะสามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายได้ประมาณ 5-10 ล้านบาท/ปี นอกจากนี้ ที่ผ่านมายังได้มีการลงทุนในโครงการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์ หรือ โซลาร์รูฟท็อปบนหลังคาโรงงานของบริษัทฯ ขนาดกำลังการผลิต 999.6 กิโลวัตต์ การติดตั้งครอบคลุมพื้นที่ขนาดประมาณ 5,800 ตารางเมตร โดยสามารถช่วยลดต้นทุนค่าไฟฟ้าประมาณ 5 ล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็น 12% ซึ่งการลงทุนข้างต้นนั้นจะสะท้อนถึงต้นทุนที่ลดลง และจะเป็นการเพิ่มความสามารถในการทำกำไรของบริษัทฯได้ในอนาคตอย่างยั่งยืนต่อไป
สำหรับผลประกอบการในไตรมาส 2/2562 มีรายได้อยู่ที่ 221.13 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 26.85 ล้านบาท หรือ 13.82% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน เนื่องจากยอดขายในประเทศและต่างประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะยอดขายในกัมพูชา ลาวและมาเลเซีย ส่งผลให้ผลประกอบการในไตรมาสนี้ขาดทุนลดลงเหลือเพียง 0.16 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2562 ซึ่งขาดทุนถึง 5.02 ล้านบาท