กรุงเทพฯ--25 ก.ย.--กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
นางอัญชนา ตราโช รองเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ถือเป็นวาระที่ทั่วโลกให้ความสำคัญ โดยในส่วนของภาคเกษตร แม้จะยังไม่มีเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจก แต่กลับเป็นภาคที่มีความเสี่ยงสูงต่อสถานการณ์ภาวะโลกร้อน ซึ่งจะเห็นได้ชัดเจนจากสถานการณ์ภัยแล้งที่เกิดขึ้นในช่วงเดือนมิถุนายน-สิงหาคม 2562 ที่กระทบพื้นที่เกษตรประสบภัยแล้ง ต่อมาเพียง 2 สัปดาห์ เกิดพายุโซนร้อนฝนตกหนักจนเกิดน้ำท่วมฉับพลันในภาคอีสานตอนล่าง มีพื้นที่การเกษตรเสียหายกว่า 3.36 ล้านไร่ (ข้อมูลศูนย์ติดตามและแก้ไขปัญหาภัยพิบัติด้านการเกษตร กระทรวงเกษตรฯ ณ วันที่ 20 กันยายน 2562) ซึ่งทั้ง 2 เหตุการณ์เป็นผลกระทบที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างเห็นได้ชัด โดยองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ ได้ประเมินไว้ว่า ในปี พ.ศ. 2573 หรืออีก 11 ปีหลังจากนี้ ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะส่งผลอย่างรุนแรงต่อภาคเกษตรในทุกพื้นที่ทั่วโลกหากไม่มีการรับมือจริงจัง
การจัดอันดับดัชนีความเสี่ยงจากสภาพอากาศโลก ระหว่างปี ค.ศ. 1998 – 2017 ในรายงาน Global Climate Risk Index 2019 ระบุว่า ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 10 ในปี ค.ศ. 2017 (สูงขึ้นจากอันดับที่ 20 ในปี 2016) และคาดว่าภาวะโลกร้อน จะส่งผลให้ผลิตภาพการผลิตในภาคเกษตรไทยลดลงไม่น้อยกว่าร้อยละ 25 ส่วนประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน ซึ่งเป็นคู่แข่งด้านสินค้าเกษตรของไทย คือ เวียดนามอยู่ในอันดับที่ 6 ในขณะที่กลุ่มประเทศจีน นิวซีแลนด์ และสหรัฐอเมริกา กลับได้รับอานิสงค์จากภาวะโลกร้อน เพราะอากาศอุ่นขึ้นทำให้ผลิตภาพการผลิตจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 5 - 25 ซึ่งหากการคาดการณ์ถูกต้องจะกระทบศักยภาพการแข่งขันของไทยในตลาดโลกอย่างแน่นอน
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ตระหนักและให้ความสำคัญในการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่ง สศก. ในฐานะหน่วยงานประสานหลักด้านการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศในภาคเกษตร ได้ร่วมกับทุกหน่วยงานขับเคลื่อนแผนการดำเนินงานด้านเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศด้านการเกษตร พ.ศ. 2560 – 2564 มาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้บรรลุวิสัยทัศน์ "ภาคเกษตรไทยมีภูมิคุ้มกันและมีส่วนร่วมในการบรรเทาปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตามแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืน" และได้ดำเนินงานร่วมกับองค์กรระหว่างประเทศ อาทิ 1) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดภาวะโลกร้อนจากการทำนาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน หรือโครงการ Thai Rice NAMA ซึ่งเป็นโครงการที่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณ 14.9 ล้านยูโร (ประมาณ 600 ล้านบาท) จากรัฐบาลประเทศเยอรมัน รัฐบาลสหราชอาณาจักร รัฐบาลเดนมาร์กและสหภาพยุโรป ผ่านโครงการ NAMA Facility 2) โครงการ Supporting the Integration of Agricultural Sector into NAPs in Thailand ซึ่งดำเนินการร่วมกับ FAO และ UNDP เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในกระบวนการวางแผน และการติดตามประเมินผลโครงการด้านการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศในภาคเกษตร รวมทั้งการบูรณาการแผนการปรับตัวภาคเกษตรในแผนการปรับตัวแห่งชาติ 3) การศึกษาศักยภาพการลดก๊าซเรือนกระจกในภาคเกษตรของไทย (Green House Gases Mitigation Options in Agricultural Sector of Thailand) โดยดำเนินการร่วมกับ GIZ และสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อศึกษาแนวทางที่เหมาะสมในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภาคเกษตร
นอกจากนี้ สศก. ยังได้ดำเนินการศึกษาวิจัยที่เกี่ยวข้องในประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในภาคเกษตร เช่น การวิเคราะห์ต้นทุนและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกกับการจัดการนาข้าว การปรับตัวทางเศรษฐกิจของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการศึกษาต้นทุนส่วนเพิ่มการลดก๊าซเรือนกระจกจากนาข้าว เป็นต้น โดยขณะนี้ ได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งพัฒนาระบบการติดตามและประเมินผล (M & E) โดยเฉพาะด้านการปรับตัว และการศึกษาศักยภาพในเชิงเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือนเกษตรกรในการปรับระบบการผลิตเพื่อช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
ทั้งนี้ การดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะต้องร่วมดำเนินการกันทั้งระบบ ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำจากทุกภาคส่วน โดยภาครัฐกำหนดนโยบาย/มาตรการ ที่ผู้ปฏิบัติสามารถนำไปปฏิบัติได้จริง ภาคเอกชนต้องสนับสนุนปัจจัยการผลิตและเทคโนโลยี ภาคการเงินสนับสนุนเงินทุน และเกษตรกรต้องยอมรับการปรับเปลี่ยนและการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและเกิดความยั่งยืนต่อไป