กรุงเทพฯ--4 ต.ค.--ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป
กูรูทิสโก้ชี้หุ้นไทยไตรมาส 4 สดใส สภาพคล่องทั่วโลกหนุน เงิน LTF-RMF ไหลเข้า เปิดชื่อหุ้นเด่นพื้นฐานดี แต่ราคาร่วงแรงต่ำสุดในรอบ 2-4 ปี พร้อมแนะจัดพอร์ตซื้อทองเก็บช่วงเดือน พ.ย. นี้
นายวิวัฒน์ เตชะพูลผล รองกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ทางเทคนิค บล.ทิสโก้ (Mr.Viwat Techapoonphol, Deputy Managing Director, Head of Technical Analysis, TISCO Securities Co., Ltd) กล่าวถึงภาพรวมตลาดหุ้นไทยในงานสัมมนา TISCO Monthly Guru Updates ว่า ในเชิงเทคนิคคาดว่าจากนี้จนถึงสิ้นปี 2562 ดัชนีหุ้นไทยจะค่อยๆ ปรับตัวเพิ่มขึ้นจนไปถึงเป้าหมายปลายปีที่ 1,680 จุดได้ เนื่องจากความเสี่ยงขาลงของตลาดหุ้นเริ่มมีจำกัด หลังจากที่ผ่านมาดัชนีหุ้นไทยปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง 3 เดือนติดกัน ขณะที่ในไตรมาส 4/2562 จะเริ่มมีสภาพคล่องจากการกระตุ้นเศรษฐกิจของธนาคารกลางสำคัญๆ ไหลเข้าสู่ระบบ รวมถึงยังเป็นช่วงที่จะมีเม็ดเงินไหลเข้ามาลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) มากที่สุดด้วย
"ไตรมาสที่ 4 เป็นไตรมาสที่มีข่าวดีรออยู่มาก โดยเฉพาะสภาพคล่องที่จะมีเพิ่มขึ้นในระบบ ทั้งจากการหยุดลดขนาดงบดุลของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ตั้งแต่เดือนสิงหาคมที่ผ่านมา และนักลงทุนยังคาดว่า FED จะลดดอกเบี้ยลงอีก 2 ครั้งในปีนี้ อีกทั้ง ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ยังกลับมาทำมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) เดือนละ 2 หมื่นล้านยูโรแบบยังไม่กำหนดวันสิ้นสุดตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน เป็นต้นไป" นายวิวัฒน์กล่าว
อย่างไรก็ตาม หากวิเคราะห์ถึงปริมาณเงินที่จะเข้ามาลงทุนในกองทุน LTF และ RMF ในช่วงไตรมาส 4/2562 คาดว่าจะปรับตัวลดลงจากปีก่อนๆ โดยประเมินว่าจะอยู่ที่ประมาณ 3-4 หมื่นล้านบาท ซึ่งลดลงจากไตรมาส 4/2561 ที่มีเม็ดเงินเข้ามาประมาณ 5.3 หมื่นล้านบาท และไตรมาส 4/2560 ที่มีเม็ดเงินเข้ามา 5.2 หมื่นล้านบาท เพราะนักลงทุนเป็นกังวลเรื่องการเติบโตของเศรษฐกิจในระยาว ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อผลตอบแทนระหว่างการลงทุนในช่วง 7 ปีปฏิทินของกองทุน LTF และการลงทุนในระยะยาวของ RMF ได้ ดังนั้น จึงเป็นเหตุให้นักลงทุนอาจตัดสินใจแบ่งเงินเข้ามาลงทุนใน LTF และ RMF ในสัดส่วนที่น้อยลง และหันไปใช้วิธีอื่นในการช่วยลดหย่อนภาษีแทน
สำหรับหุ้นเด่นแนะนำไปจนถึงสิ้นปี 2562 แบ่งออกเป็น 3 ธีม ได้แก่ 1.หุ้นพื้นฐานดี แต่ในรอบ 2-4 ปีราคาปรับลงมาต่ำสุด ได้แก่ BBL, KBANK, SCB และ SPALI 2.หุ้นรับมาตรการรัฐกระตุ้นเศรษฐกิจ ได้แก่ AOT, CPALL, BJC, AMATA, WHA และ ROJNA 3.หุ้นกำไรดีไตรมาส BEM, ERW, SEAFCO, TRUE และTU
นายวิวัฒน์ กล่าวอีกว่า สำหรับนักลงทุนที่ต้องการจัดพอร์ตการลงทุน เพื่อลดความเสี่ยงจากสถานการณ์เศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอนสูง และมีแนวโน้มที่จะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปี 2563 ส่วนตัวแนะนำให้ทยอยเข้าซื้อทองคำ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงเศรษฐกิจขาลง โดยควรรอจังหวะที่ราคาทองย่อตัว ซึ่งคาดว่าจะเกิดในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2562 เพราะเป็นช่วงที่สภาพคล่องทั่วโลกเพิ่มขึ้น มองราคาทองคำโลกย่อตัวลงที่ 1,440 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ เป็นจังหวะเข้าซื้อ และรอขายในปี 2563 ที่คาดว่าราคาทองคำจะปรับขึ้นไปอยู่ที่ 1,650 - 1,700 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์
ขณะที่การลงทุนในตลาดทองคำไทยแนะนำให้เข้าซื้อเมื่อราคาลงไปอยู่ที่บาทละ 21,400 บาท และคาดว่าปี 2563 ราคาทองคำในประเทศจะปรับตัวขึ้นไปอยู่ที่บาทละ 23,200 - 24,000 บาท โดยได้รับแรงหนุนจากเงินบาทเริ่มกลับมาอ่อนค่า และราคาทองคำโลกปรับเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ งานสัมมนา TISCO Monthly GURU Updates เป็นหนึ่งในกิจกรรมสัมมนาที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกเดือนเพื่อเผยแพร่บทวิเคราะห์และทิศทางการลงทุนเพื่อช่วยให้ลูกค้าทิสโก้และนักลงทุนบรรลุเป้าหมายทางการเงิน ตามกลยุทธ์ของทิสโก้ในการเป็นผู้แนะนำการลงทุนชั้นนำหรือ Top Advisory House