กรุงเทพฯ--21 ต.ค.--เดอะเวย์ คอมมิวนิเคชั่น
บมจ. อาร์ แอนด์ บี ฟู้ด ซัพพลาย หรือ"RBF" หุ้นไอพีโอน้องใหม่ป้ายแดงจำนวน 520 ล้านหุ้น กองทุนและสถาบัน รวมถึงนักลงทุนรายย่อยให้การตอบรับท่วมท้นขายหมดเกลี้ยง "APM"ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน เชื่อเพราะนักลงทุนมองเห็นอนาคตการเติบโตที่สดใส จากปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะเรื่อง R&D แถมการกำหนดราคาจองซื้อที่ 3.30 บาทต่อหุ้น เป็นราคาที่เหมาะสม พร้อมเข้าซื้อขายใน SET วันที่ 24 ตุลาคมนี้ ด้านผู้บริหาร"ดร.สมชาย รัตนภูมิภิญโญ " ระบุนำเงินที่ได้ไปก่อสร้างโรงงานผลิตเกล็ดขนมปังและแป้งประกอบอาหาร ที่ประเทศอินโดนีเซีย นำไปปรับปรุงและซื้อเครื่องจักรเพิ่มเติม รวมถึงลงทุนเปิดบริษัทตัวแทนและห้องทดลองในประเทศสิงคโปร์ เพื่อขยายฐานลูกค้าหนุนธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน
นายสมภพ ศักดิ์พันธ์พนม ประธานกรรมการ บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด (APM) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน ของ RBF เปิดเผยว่า หลังจากที่ได้มีการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 520,000,000 หุ้นมูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1 บาท ราคาเสนอขายหุ้นละ 3.30 บาท โดยเปิดให้นักลงทุนจองซื้อหุ้น เมื่อวันที่ 16-18 ตุลาคม 2562 ที่ผ่านมาปรากฏว่าหุ้นที่เสนอขายมูลค่ารวม 1,716 ล้านบาทนั้นนักลงทุนได้แสดงความต้องการซื้อมาอย่างล้นหลามและขายหมดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ทั้งนี้ได้มีการแบ่งสัดส่วนการขายหุ้นให้กับสถาบันคิดเป็นประมาณ 60% ส่วนที่เหลือเป็นการขายให้กับประชาชนทั่วไป โดยมีการกระจายให้กับนักลงทุนจำนวน 7,762 ราย สำหรับการที่นักลงทุนให้ความสนใจจองซื้อหุ้น IPO ของ RBF เป็นจำนวนมากนั้น เป็นผลมาจากการตั้งราคาเสนอขายเป็นราคาที่เหมาะสมรวมถึงนักลงทุนรับรู้ถึงปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งและมีศักยภาพในการเติบโตในอนาคต เนื่องจากมีการนำเสนอข้อมูล(โรดโชว์)ให้กับนักลงทุนสถาบันในประเทศจำนวน 22 กองทุนและต่างประเทศได้แก่ สิงคโปร์และญี่ปุ่นจำนวน 6 กองทุน และโรดโชว์ให้กับนักลงทุนรายย่อย ประชาชนทั่วไปในประเทศอีกจำนวน 15 จังหวัดและบริษัทยังได้ไปโรดโชว์ที่ห้องค้าของบริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำต่าง ๆ อีกจำนวน 5 แห่งอีกด้วย
นายสมศักดิ์ ศิริชัยนฤมิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ของ APM เปิดเผยว่า ต้องขอขอบคุณผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่าย คือ บล. ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน)และบล. กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) และผู้ร่วมจัดจำหน่ายอีก 11 แห่ง ได้แก่ บล. ไอร่า จำกัด (มหาชน) บล. เอเซีย พลัส จำกัด บล. โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) บล. โกลเบล็ก จำกัด บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บล. เคที ซีมิโก้ จำกัด บล. เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บล. ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)บล. อาร์เอชบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)บล. ทรีนีตี้ จำกัดและบล. ยูโอบีเคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ที่ได้ร่วมกันเสนอขายหุ้นไอพีโอของ RBF จนประสบผลสำเร็จในครั้งนี้
"ทั้งนี้ RBF มีจุดแข็งหลายด้านโดยเฉพาะเรื่อง R&D ที่บริษัทให้ความสำคัญอย่างมากโดยมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ออกมาอย่างต่อเนื่องและหลากหลายมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวทดแทนกันได้ยาก นอกจากนี้ยังเป็นบริษัทเดียวที่ดำเนินธุรกิจทางด้านนวัตกรรมอาหารที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย( SET) ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าวทำให้บริษัทมีความสามารถในการทำกำไรที่สูง และบริษัทมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง อีกทั้งผู้บริหารยังมีประสบการณ์ในธุรกิจ Food Ingredients มากกว่า 34 ปี ทำให้เชื่อว่าเมื่อหุ้น RBF เข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน "นายสมศักดิ์ กล่าว
ดร.สมชาย รัตนภูมิภิญโญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อาร์ แอนด์ บี ฟู้ด ซัพพลาย จำกัด (มหาชน) หรือ RBF เปิดเผยว่ารู้สึกยินดีและขอบคุณนักลงทุนทุกท่านที่ให้การตอบรับหุ้นของ RBF เป็นอย่างดีจนขายหมดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้เชื่อว่าหุ้นของบริษัทจะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนในวันที่ 24 ตุลาคมนี้ ซึ่งเป็นวันเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเป็นวันแรก
"ในฐานะผู้บริหารของบริษัทผมขอขอบคุณนักลงทุนทุกท่านที่ให้ความเชื่อมั่นในหุ้นRBFและรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่นักลงทุนให้ความสนใจจองซื้อหุ้นไอพีโอเข้ามาเป็นจำนวนมาก ซึ่งการตอบรับที่ดีของนักลงทุนนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในพื้นฐานที่แข็งแกร่งของบริษัท และแนวโน้มการเติบโตในอนาคตของบริษัทที่ RBF มีแผนการดำเนินงานที่ชัดเจนหลังเตรียมก่อสร้างโรงงานผลิตเกล็ดขนมปังและแป้งประกอบอาหาร ที่ประเทศอินโดนีเซีย และนำไปปรับปรุงและซื้อเครื่องจักรเพิ่มเติม ทั้งเครื่องจักรในการผลิตเกล็ดขนมปัง เครื่องจักรในการผลิตแป้งทอดกรอบ เครื่องจักรในการผลิตวัตถุแต่งกลิ่นรสแบบอัตโนมัติ ลงทุนเปิดบริษัทตัวแทนและห้องทดลองในประเทศสิงคโปร์ เพื่อขยายฐานลูกค้าในอนาคตของสินค้าประเภทวัตถุแต่งกลิ่นรส (Flavour) รวมถึงจะเป็นการชำระคืนเงินกู้ยืมระยะยาวจากการจัดโครงสร้างกลุ่มของบริษัทและใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ ซึ่งจากปัจจัยทั้งหมดที่กล่าวมาทำให้บริษัทมีความพร้อมที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่องมั่นคงและยั่งยืน" ดร.สมชาย กล่าว