กรุงเทพฯ--24 ต.ค.--มีเดีย แพลนเนอร์ คอนซัลแทนท์
กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดับบลิวเอชเอ พรีเมี่ยม โกรท (WHART) ประกาศเพิ่มทุนครั้งที่ 4 เพื่อเข้าลงทุนในทรัพย์สินเพิ่มเติม โดยมูลค่าสูงสุดที่จะเข้าลงทุนในสินทรัพย์หลักไม่เกิน 4,880.25 ล้านบาท ด้าน GROUP CEO "จรีพร จารุกรสกุล" ในฐานะผู้บริหารอสังหาริมทรัพย์ ระบุ จุดเด่นของทรัพย์สินส่วนใหญ่ ที่ขายเข้ากองทรัสต์ เป็น โครงการ Built-to-Suit Warehouse & Factory ระดับพรีเมี่ยม ที่ครบทั้งระบบสาธารณูปโภค-พลังงาน และ Digital Infrastructure ด้านผู้จัดการกองทรัสต์ WHART "นฤมล ตันตยาวิทย์" เผยภายหลังเพิ่มทุนสำเร็จขนาดทรัพย์สินรวม เพิ่มเป็น 38,000 ล้านบาท เตรียมเสนอขายหน่วยทรัสต์จำนวนทั้งสิ้นไม่เกิน 323.78 ล้านหน่วย โดยราคาสูงสุด ที่จะเสนอขายหน่วยทรัสต์ ไม่เกิน 16.90 บาทต่อหน่วยทรัสต์ พร้อมเปิดจองซื้อหน่วยลงทุน ในเดือนพ.ย.นี้ และโอนกรรมสิทธิ์และสิทธิการเช่าทรัพย์สินเข้ากองทรัสต์ WHART แล้วเสร็จในเดือนธ.ค. 2562
นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ในฐานะเจ้าของทรัพย์สิน (Sponsor) และผู้บริหารอสังหาริมทรัพย์ ภายใต้กลุ่มบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดับบลิวเอชเอ พรีเมี่ยม โกรท (กองทรัสต์ WHART) เป็นกองทรัสต์ ที่เน้นลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ที่ก่อให้เกิดรายได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่ง WHA Group ในฐานะผู้สนับสนุนและผู้บริหารอสังหาริมทรัพย์ ได้ขายทรัพย์สินเข้ากองทรัสต์ WHART อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่การ IPO ในปี 2557 เป็นต้นมา โดยรูปแบบโครงการของ WHA Group ส่วนใหญ่จะเป็นโครงการ Built-to-Suit Warehouse & Factory ระดับพรีเมี่ยม ที่ครบทั้งระบบสาธารณูปโภค-พลังงาน และ Digital Infrastructure
นอกจากนี้ โครงการของ WHA Group ส่วนใหญ่ ตั้งอยู่ในพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญทางด้านโลจิสติกส์ของประเทศรวมถึงพื้นที่ที่สอดรับกับแผนพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ภายใต้การส่งเสริมและสนับสนุนของภาครัฐ ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าว ส่งผลให้ความต้องการคลังสินค้า โรงงานและศูนย์กระจายสินค้า ในเขตพื้นที่ดังกล่าวรวมถึงพื้นที่ EEC มีดีมานด์ความต้องการเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องภายในระยะเพียงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ซึ่งถือว่าเป็นการสอดรับกับแผนพัฒนาพื้นที่ของกลุ่ม WHA Group ที่มุ่งมั่นส่งเสริมการพัฒนา 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศไทย
นางสาวนฤมล ตันตยาวิทย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดับบลิวเอชเอ เรียล เอสเตท แมเนจเม้นท์ จำกัด ในฐานะผู้จัดการกองทรัสต์ WHART กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับการเพิ่มทุนครั้งที่ 4 เพื่อลงทุนในทรัพย์สิน เพิ่มเติมครั้งที่ 5 ของกองทรัสต์ WHART นั้น จะเป็นการลงทุนในทรัพย์สิน มูลค่าทั้งสิ้นไม่เกิน 4,880.25 ล้านบาท รวมจำนวน 5 โครงการ แบ่งเป็นการลงทุนในกรรมสิทธิ์ 3 โครงการ และการลงทุนสิทธิการเช่า/สิทธิการเช่าช่วงจำนวน 2 โครงการ ซึ่งจะมีพื้นที่เช่าอาคารรวมประมาณ 155,237 ตารางเมตร แบ่งเป็นพื้นที่อาคารคลังสินค้าในโซนบางนา-ตราด สัดส่วนประมาณ 90% และพื้นที่อาคารโรงงานในโซน EEC ประมาณ 10% พื้นที่เช่าหลังคารวมประมาณ 71,482 ตารางเมตร และพื้นที่เช่าลานจอดรถรวมประมาณ 2,983 ตารางเมตร บนที่ดินรวมประมาณ 172 ไร่ 2 งาน 26.75 ตารางวา
ซึ่งประกอบด้วย 1.โครงการอาคารโรงงาน DTS ตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ชลบุรี ตำบลบ่อวิน อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี 2.โครงการอาคารโรงงาน Roechling ตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 1 ตำบลเขาคันทรง อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี 3.โครงการ WHA Mega Logistics Center (ชลหารพิจิตร กม.3 เฟส 1) ตั้งอยู่ที่ตำบลบางปลา อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ 4.โครงการ WHA Mega Logistics Center (ชลหารพิจิตร กม.3 เฟส 2) ตั้งอยู่ที่ ตำบลบางปลา อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ และ 5.โครงการ WHA KPN Mega Logistics Center (ถนนบางนา-ตราด กม.23 เฟส 2) ตั้งอยู่ที่ ตำบลบางเสาธง อำเภอบางเสาธง จังหวัดสมุทรปราการ
โดยทรัพย์สินที่ทางกองทรัสต์ WHART เข้าไปลงทุนนั้น มีความโดดเด่น ในด้านทำเลที่ตั้งซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์ด้านโลจิสติกส์ รวมถึงโครงการซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ EEC ซึ่งจะเป็นการสร้างมูลค่าเสริมเพิ่มให้กับกองทรัสต์ได้ในระยะยาว อีกทั้ง มีความโดดเด่นของผู้เช่าที่เป็นกลุ่มธุรกิจ E-Commerce ซึ่งถือว่าเป็นธุรกิจ
เมกะเทรนด์ ที่มีการเติบโตสูง รวมถึงผู้เช่าที่เป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์และเทคโนโลยียานยนต์สมัยใหม่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Plug-in Hybrid Car) ซี่งจะช่วยให้กลุ่มลูกค้าผู้เช่าของกองทรัสต์มีความหลากหลายมากขึ้น
พร้อมกันนี้ เชื่อว่าภายหลังจากการเข้าลงทุนครั้งนี้ จะส่งผลให้มูลค่าทรัพย์สินรวมของกองทรัสต์ WHART เพิ่มขึ้นแตะระดับกว่า 38,000 ล้านบาท จากเดิมที่มีมูลค่าทรัพย์สินรวม 33,214 ล้านบาท ซึ่งถือได้ว่า WHART ติดอันดับ 1 ใน 3 ของการเป็นหนึ่งในผู้นำในอุตสาหกรรมกองทรัสต์ ประเภทคลังสินค้า โรงงานและศูนย์กระจายสินค้า อีกทั้งยังมองว่า การเพิ่มทุนครั้งนี้ จะสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหน่วยทรัสต์ อย่างมีเสถียรภาพ และยังสามารถรักษาสัดส่วนทรัพย์สินประเภท Freehold ต่อ Leasehold ในระดับใกล้เคียงเดิมประมาณ 67% ต่อ 33% เพื่อช่วยลดความเสี่ยงจากการลดมูลค่าของทรัพย์สินของกองทรัสต์ในอนาคต และสามารถรักษาระดับ Occupancy rate ได้ประมาณ 90% อย่างต่อเนื่อง ด้วย profile ของผู้เช่าพื้นที่ของกองทรัสต์ ซึ่งส่วนมากเป็นผู้เช่ารายใหญ่และมีความมั่นคง
"หลังจากที่กองทรัสต์ WHART เข้าซื้อทรัพย์สินแล้วเสร็จ คาดว่าจะทำให้กองทรัสต์สามารถจ่ายผลตอบแทนได้เพิ่มขึ้น โดยได้มีการประเมินอัตราผลตอบแทนต่อหน่วยไว้ที่ระดับ 0.79 บาทต่อหน่วยทรัสต์ ซึ่งเป็นตัวเลขที่สอบทานโดยผู้สอบบัญชี หรือคิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลและลดทุน ประมาณ 4.67% คำนวณจากราคาเสนอขายสูงสุดไม่เกิน 16.90 บาทต่อหน่วยทรัสต์"
นางสาวรวีรัตน์ สัจจวโรดม ผู้บริหารงานวาณิชธนกิจ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายหน่วยทรัสต์ กล่าวว่า จะมีการเปิดให้ผู้ถือหน่วยทรัสต์เดิมจองซื้อหน่วยทรัสต์ WHART จากการเพิ่มทุนครั้งที่ 4 จำนวนทั้งสิ้นไม่เกิน 323.78 ล้านหน่วย โดยราคาสูงสุด ที่จะเสนอขายหน่วยทรัสต์ ไม่เกิน 16.90 บาทต่อหน่วยทรัสต์ ซึ่งจะเปิดให้ผู้ถือหน่วยเดิมจองซื้อ ระหว่างวันที่
12 – 15 และ 18 พฤศจิกายน 2562 และ สำหรับประชาชนทั่วไป ได้แก่บุคคลตามดุลพินิจของผู้จัดการการจัดจำหน่ายและผู้จัดจำหน่ายหน่วยทรัสต์ จะเปิดให้จองซื้อ ระหว่างวันที่ 19 - 22 และ 25 พฤศจิกายน 2562 และคาดว่าโอนกรรมสิทธิ์และสิทธิการเช่าในสินทรัพย์ได้ในช่วงประมาณปลายปี 2562
โดย กองทรัสต์ WHART มีจุดเด่นทั้งเรื่องผลผลตอบแทนจากเงินปันผลที่สม่ำเสมอ และติดอันดับ Top 5 ของกองทรัสต์ที่มีขนาดใหญ่ของประเทศ ประกอบกับศักยภาพของคลังสินค้า โรงงาน และศูนย์กระจายสินค้า ซึ่งเป็นไปตามมาตรฐานระดับสากล อีกทั้งยังมีความโดดเด่นในด้านทำเลที่ตั้งซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์ด้านโลจิสติกส์ รวมถึงที่ตั้งบนเขตพื้นที่ EEC ยิ่งส่งผลให้ได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติ และที่สำคัญมีผู้บริหารทรัพย์สินมืออาชีพ ในการบริหารอสังหาริมทรัพย์ อย่าง บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จึงยิ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความเชื่อมั่นในการลงทุนได้เป็นอย่างดี