กรุงเทพฯ--31 ต.ค.--Living Spirits
Living Spirits กลุ่มนักสร้างสรรค์และศิลปินผู้รังสรรค์ Installation Art ชาวไทยดีกรีผลงานสร้างชื่อระดับประเทศได้รับเลือกให้ไปจัดแสดงไกลถึงประเทศสิงคโปร์ 2 ปีซ้อน ครั้งนี้กลับมาแสดงผลงานที่ไทยอีกครั้งภายใต้ชื่องาน "I GONE WILD (everyday)" งานแรกที่ใช้เทคนิคความจริงเสมือนเพื่อเป็นสื่อกลางในการนำเสนอ
Living Spirits คือ กลุ่ม Art Collective ที่ชอบรับฟัง ตั้งคำถาม สร้างบทสนทนา และ เชื่อมโยงเข้าหาผู้คนผ่านงานศิลปะที่ง่ายต่อการเข้าใจเพื่อให้เกิดการรับรู้เข้าถึงคนในวงกว้างได้ เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา
กลุ่ม Living Spirits ได้แสดงผลงานที่สร้างชื่อเสียงในนามศิลปินไทยในต่างประเทศ ในงาน Light installation โดยเริ่มผลงานชิ้นแรก Chandelier of Spirits ที่งาน i Light Singapore 2018 ต่อมาผลงานชิ้นที่สองได้มาจัดแสดงที่ประเทศไทยเป็นครั้งแรกคือผลงาน Antenna of Letters ในงาน Awakening Bangkok 2018 และอีกครั้งทางภาคเหนือของไทยในชื่อผลงาน Act of Thought ในงาน Chiang Mai Design Week 2018 และเมื่อต้นปีที่ผ่านมามีโอกาสได้กลับไปที่งาน i Light Singapore 2019 อีกครั้งกับงาน Crystallization of Thought และมาถึงผลงาน I GONE WILD (everyday) ที่กำลังจัดขึ้นในครั้งนี้ ถือเป็นงานชิ้นแรกที่ใช้เทคนิคความจริงเสมือนเพื่อเป็นสื่อกลางในการนำเสนอสิ่งที่ต้องการจะสื่อออกไป
แนวคิดหลักของผลงาน I GONE WILD (everyday) นี้มาจากประเทศไทยนั้นมีวัฒนธรรมการใช้ภาษาที่น่าสนใจที่สุดประเทศหนึ่ง มีการใช้สำนวน สุภาษิต คำพังเพย หรือคำเปรียบเทียบต่าง ๆ เช่น จับปลาสองมือ จับเสือมือเปล่า ชี้โพรงให้กระรอก โง่เง่าเต่าตุ่น และอื่น ๆ อีกมากมาย สิ่งเหล่านี้ถือเป็นภูมิปัญญาของคนไทยที่เกิดจากพฤติกรรมในการใช้ชีวิตประจำวัน ผ่านเหตุการณ์ต่าง ๆ ไม่ว่าในทางร้ายหรือดี กลายมาเป็นการตั้งคำถามกับสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อเวลา ผู้คน และบริบททางสังคมนั้นเปลี่ยนแปลงไปแล้ว เราสามารถสร้างคำเปรียบเทียบขึ้นมาใหม่ให้เท่าทันกับยุคดิจิตอลนี้ได้หรือไม่ จึงได้ค้นพบว่าในปัจจุบันเรามีการสร้างคำเปรียบเปรยใหม่ ๆ ขึ้นมา
ศศิศ สุวรรณปากแพรก ผู้ก่อตั้งกลุ่ม Living Spirits กล่าวว่า "ผลงาน I GONE WILD (everyday) ได้แรงบันดาลใจมาจากการใช้ชีวิตในเมืองหลวงในกรุงเทพเมืองที่วุ่นวาย ที่พวกเราทุกคนน่าจะคุ้นเคยกับภาพที่เห็นกันอยู่ทุกวัน ฝนตก รถติด ทางเท้าที่เต็มไปด้วยแอ่งน้ำ ไปจนถึงทางม้าลายที่ไม่เคยได้ข้าม บางครั้งก็เกิดความสงสัยจนเกิดเป็นการตั้งคำถามขึ้นมา แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับผมนั้นกลับเป็นภาพต่าง ๆ ที่มันเกิดผุดขึ้นมาในหัวผ่านมุมมองหนึ่งที่เป็นรูปแบบของการเปรียบเทียบ ล้อเลียน ตลกขบขัน และเสียดสี ซึ่งสิ่งที่ผมคิดขึ้นมาเล่น ๆ นั้นได้เปลี่ยนอารมณ์ที่บูดบึ้งของผมให้เกิดเป็นรอยยิ้มและสามารถทำกิจกรรมที่ทำอยู่ต่อไปได้ สามารถเรียกได้ว่าเป็น "Bad feeling exit strategy" ได้ จากวันเป็นเดือน จากเดือนเลื่อนผ่านไปเป็นปี แต่เราก็ยังคงเห็นปัญหารอบตัวเราเหล่านี้อยู่ตลอด มันคงยากที่จะแก้ที่สิ่งรอบตัวโดยตรง ผมจึงเลือกที่จะให้งานศิลปะเป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหาเหล่านี้ในรูปแบบหนึ่ง"
พื้นที่จัดแสดงงาน I GONE WILD (everyday) จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกเป็นงานประติมากรรมของบรรยากาศรอบ ๆ ตัวเราที่สามารถพบเจอได้ในชีวิตประจำวัน เมื่อนำกระจกไปส่องจะปรากฏภาพเสมือนขึ้น สร้างเป็นมิติของการเปรียบเทียบที่มากกว่าการใช้คำพูด เช่น บนท้องถนนที่คุณกำลังขับรถไปทำงานตามปกติ แต่แล้วก็มีรถคันหนึ่งขับปาดหน้าเข้ามากลายเป็นเหตุให้เกิดรถติดตามมาและอีกส่วนหนึ่งเป็นงาน Illustration เชิงเปรียบเทียบในมุมมองที่เจาะจงมากขึ้น เช่น การเปรียบเทียบกิจกรรมของทุกวันหลังเลิกงานที่อยากจะแค่นอนเฉย ๆ ไม่ทำอะไร ไม่ขยับตัวไปไหนทั้งนั้นกับตัวสลอธ หรือการเที่ยวรำแพนหางของนกยูงอวดว่าเรามีระดับ ยิ่งใหญ่เหนือใคร ๆ ทั้งนั้นเป็นคำพังเพยใหม่ออกมา
ความพิเศษของงาน I GONE WILD (everyday) เป็นผลงานที่ทำให้สิ่งที่เราเห็นอยู่รอบตัวเราทุกวัน ได้ถูกนำกลับมาฉุกให้คิดเชื่อมโยงไปยังปัญหาที่เกิดขึ้นมาอย่างยาวนานในประเทศของเรา เช่น ฝนตก รถติด ทางเท้าที่เต็มไปด้วยแอ่งน้ำ ซึ่งยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างตรงจุดเสียที จึงต้องการนำศิลปะมาเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่มีบทบาทในการแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ทำให้เกิดการตีความที่เป็นปัจเจกของแต่ละคน นอกจากทำหน้าที่ในการเปรียบเทียบแล้วมันยังสามารถถูกนำกลับมาทำให้ผู้คนตระหนัก ฉุกคิด ปลดปล่อย หรือสร้างความขบขันให้ได้
งาน "I GONE WILD (everyday)" จะจัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 22 ตุลาคม ถึง 3 พฤศจิกายน 2562 เวลา 11.00 น. – 20.30 น. ณ จอยแมนแกลเลอรี่ (JOYMAN GALLERY) เข้าชมฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ facebook : livingspirits.art , Instagram : livingspirits.art