กรุงเทพฯ--5 พ.ย.--พีอาร์ สตอรี่
ผู้บริหารจระเข้ ตอกย้ำความเป็นผู้นำในการผลิตและจำหน่ายสินค้าเพื่องานก่อสร้าง นำทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน LEED ตอบสนองความต้องการสร้างอาคารเขียวในอนาคตของประเทศไทย ชี้แม้เศรษฐกิจชะลอตัวทั่วโลก แต่พื้นฐานของไทยยังดี เชื่อภาครัฐเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานจะส่งผลดีต่อการเติบโตเศรษฐกิจและภาคอุตสาหกรรม คุณพงษ์พันธุ์ ประทีปมโนวงศ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด บริษัท จระเข้
คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้นำในการผลิตและจำหน่ายสินค้านวัตกรรม เพื่องานก่อสร้าง ซ่อมแซม และตกแต่ง กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 27 ปี ผลิตภัณฑ์จระเข้มีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับจากตลาด และด้วยวิสัยทัศน์และแนวคิด Innovation for your family's happiness บริษัทฯ จึงได้นำนวัตกรรมและเทคโนโลยีเข้ามาพัฒนาสินค้าให้ได้มาตรฐาน เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ทั้งนี้ หลายปีที่ผ่านมาการพัฒนาผลิตภัณฑ์จระเข้จะเน้นการผลิตจากวัสดุจากธรรมชาติเป็นหลัก ประกอบกับผู้คนให้ความสำคัญกับเรื่องของสุขภาพมากยิ่งขึ้น มีการนำมาตรฐานGreen Standard มาใช้ในการสร้างอาคาร ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ ได้รับการตอบรับจากผู้ใช้งาน ล่าสุดในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ของจระเข้ ได้ผ่านเกณฑ์การประเมินจาก Leadership in Energy and Environmental Design หรือ LEED ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นเกณฑ์สำหรับการประเมินอาคารเขียวที่นิยมใช้ในประเทศต่างๆ ทั่วโลก โดยอาคารที่ต้องการการรับรองเป็นอาคารเขียวจาก LEED สามารถใช้ผลิตภัณฑ์จระเข้ที่ผ่านมาตรฐานในการเพิ่มคะแนนได้
ทั้งนี้ การที่บริษัทฯ เป็นของคนไทย 100% จะได้รับการยอมรับและความน่าเชื่อถือจากผู้บริโภค หรือเจ้าของโครงการ ต้องทำให้เกิดความเชื่อมั่นว่าสินค้าได้รับการรับรองมาตรฐานในระดับสากล เดิมมาตรฐานหลักของบริษัทฯ จะเป็นไปตามมาตรฐาน ANSI ของสหรัฐอเมริกา การผ่านเกณฑ์มาตรฐาน LEED ในครั้งนี้ จะเป็นการเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าอีกทางหนึ่งถึงคุณภาพของผลิตภัณฑ์จระเข้
คุณพงษ์พันธุ์ กล่าวต่อว่า ปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์จระเข้แบ่งออกเป็น 5 กลุ่ม ประกอบด้วย กลุ่มกาวซีเมนต์ ซึ่งบริษัทฯ เป็นผู้นำตลาดในกลุ่มนี้และเป็นเจ้าแรกที่มีการใช้ถุงสีเป็นตัวกำหนดเกรดสินค้า เช่น กาวซีเมนต์ จระเข้เขียว, กาวซีเมนต์ จระเข้แดง, และกาวซีเมนต์ จระเข้ทอง มีอัตราการเติบโต 10% ต่อปี กลุ่มกาวยาแนว สินค้าเด่นในกลุ่มนี้คือ กาวยาแนว จระเข้ พรีเมียมพลัส ซึ่งบริษัทฯ เป็นเจ้าแรกในประเทศไทย ที่นำสาร Microban เข้ามาใช้กับผลิตภัณฑ์นี้ ช่วยยับยั้งการเกิดราดำ โดยกลุ่มนี้มีอัตราการเติบโตมากกว่า 15%ต่อปี กลุ่มเคมีภัณฑ์ สำหรับงานซ่อมสร้างทุกหมวด ตั้งแต่ผลิตภัณฑ์กันซึม ผลิตภัณฑ์ซ่อมแซมโครงสร้าง ผลิตภัณฑ์แต่งผิวผนัง อุปกรณ์อุดยาแนว และยึดติด โดยกลุ่มนี้มีอัตราการเติบโตมากที่สุด เพราะมีผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมทั้งงานสร้างใหม่และงานปรับปรุงซ่อมแซมอาคาร กลุ่มวัสดุตกแต่ง เครื่องมือ อุปกรณ์การปูกระเบื้อง จระเข้ อาทิ คิ้วจระเข้ พลัส ไมโครแบน เครื่องตัดและเจาะกระเบื้อง สุดท้ายกลุ่มสี เป็นสีแนวคิดใหม่ Natural Color ใช้วัสดุจากธรรมชาติ ต่างจากผลิตภัณฑ์สียี่ห้ออื่นๆ ในท้องตลาดที่ผลิตจาก Acrylic ทำให้สีของจระเข้ ดีต่อสุขภาพ เพราะช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และรักษาสิ่งแวดล้อมได้อีกด้วย
"สภาพเศรษฐกิจที่เกิดการชะลอตัวในขณะนี้ ไม่ใช่เฉพาะประเทศไทยเท่านั้นที่ประสบปัญหา แต่เกิดขึ้นกับทุกประเทศทั่วโลก แต่เชื่อว่าด้วยพื้นฐานเศรษฐกิจที่ดีของไทย จะสามารถเดินหน้าต่อไปได้ เพราะภาครัฐ มีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานมากขึ้น ทำให้ส่งผลดีต่อการเติบโตของเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมก่อสร้างในอนาคต ในส่วนของบริษัทฯ นั้น จะให้ความสำคัญกับตลาดภาครัฐมากขึ้น มุ่งเน้นกการขยายตลาดเพิ่มผลิตภัณฑ์ เพื่อตอบสนองงานพวกรถไฟฟ้าความเร็วสูง หรือโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ทั้งนี้ สัดส่วนรายได้ในปัจจุบันของบริษัทฯ จะมาจากภาคเอกชน 80% แต่จากการที่บริษัทฯ ขยายตลาดไปในภาครัฐมากขึ้น เชื่อว่าการเติบโตโดยภาพรวมของบริษัทฯ รายได้ในอนาคตจะมาจากเอกชน 60% ภาครัฐ 40% ซึ่งไม่ใช่การลดสัดส่วนการทำตลาดแต่อย่างใด" คุณพงษ์พันธุ์ กล่าวในที่สุด