กรุงเทพฯ--6 พ.ย.--วิเคราะห์ข่าว สํานักงานประชาสัมพันธ์
นางศิลปสวย ระวีแสงสูรย์ ปลัดกรุงเทพมหานคร เปิดเผยว่า กทม. ได้ติดตามสถานการณ์ฝุ่นละออง PM2.5 อย่างใกล้ชิด โดยฝุ่นละอองเหล่านี้มีแหล่งกำเนิดหลักมาจากยานพาหนะที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล จึงมุ่งเน้นแก้ไขปัญหาที่แหล่งกำเนิด ด้วยการบูรณาการการทำงานร่วมกับกองบังคับการตำรวจจราจร ตรวจวัดควันดำรถยนต์ทุกประเภท กรมการขนส่งทางบก ตรวจวัดควันดำรถโดยสารสาธารณะ และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ตรวจวัดควันดำรถสองแถว พร้อมแนะนำการบำรุงรักษาเครื่องยนต์ให้กับผู้ขับขี่รถยนต์เพื่อลดมลพิษที่แหล่งกำเนิด โดยดำเนินการตามแผนตรวจวัดมลพิษรถโดยสารประจำทางและรถสองแถวในพื้นที่กรุงเทพฯ นอกจากนี้ ยังได้กำชับให้ทุกหน่วยงานในสังกัดตรวจสอบและบำรุงรักษาเครื่องยนต์ให้พร้อมใช้งาน ตรวจสภาพเครื่องยนต์ตามระยะทางหรือระยะเวลาที่กำหนด เพื่อไม่ให้ปล่อยมลพิษเกินมาตรฐานที่กฎหมายกำหนด โดยตรวจวัดมลพิษจากรถในสังกัด กทม. ทุก 6 เดือน หากพบมลพิษเกินมาตรฐาน หน่วยงานต้นสังกัดต้องนำรถไปปรับปรุงแก้ไขให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน
นายชาตรี วัฒนเขจร ผู้อำนวยการสำนักสิ่งแวดล้อม กทม. กล่าวเพิ่มเติมว่า สำนักสิ่งแวดล้อม ได้ยกระดับความเข้มข้นการปฏิบัติงานในช่วงเกิดวิกฤตปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 โดยผลการตรวจวัดรถยนต์ควันดำตั้งแต่เดือน ม.ค. - ก.ย. 2562 จำนวน 22,994 คัน พบรถที่มีควันดำเกินมาตรฐาน 4,886 คัน คิดเป็นร้อยละ 21 ซึ่งได้ดำเนินการเปรียบเทียบปรับและสั่งให้ปรับปรุงแก้ไขเครื่องยนต์ไม่ให้มลพิษเกินมาตรฐาน นอกจากนี้ ยังได้ปฏิบัติงานเชิงรุก ด้วยการตรวจวัดควันดำจากรถสองแถวที่ท่าปล่อยรถ ตั้งแต่เดือน ม.ค. - ก.ย. 2562 ตรวจวัด 269 คัน ไม่พบควันดำเกินมาตรฐาน พร้อมให้คำแนะนำเกี่ยวกับการบำรุงรักษาเครื่องยนต์เพื่อลดมลพิษ ซึ่งผู้ประกอบการรถสองแถวให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีในการบำรุงรักษาเครื่องยนต์เพื่อลดมลพิษ ส่วนผลการตรวจวัดมลพิษรถราชการในสังกัด กทม. ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2561 - 30 ก.ย. 2562 จำนวน 6,339 คัน ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน 6,293 คัน คิดเป็นร้อยละ 99 นอกจากนี้ ได้ปรับเวลาการเก็บขนมูลฝอยในถนนสายหลักและถนนสายรองให้แล้วเสร็จก่อนเวลา 04.00 น. ของทุกวัน เพื่อหลีกเลี่ยงการจราจรติดขัดในชั่วโมงเร่งด่วนและช่วยลดการปล่อยมลพิษ รวมทั้งรณรงค์ "ร่วมใจไม่ขับ..ช่วยดับเครื่อง" บริเวณลานจอดรถหรือจุดรับส่งพนักงาน