กรุงเทพฯ--28 ก.พ.--อาร์เอส
WWF ทั่วโลก พร้อมใจกันจัดแคมเปญพิเศษ เพื่อรณรงค์ให้ประชาชนหันมาให้ความสำคัญกับ การลดภาวะโลกร้อน Earth Hour Campaign หรือ "ปิดไฟ หนึ่งชั่วโมง เพื่อลดโลกร้อน” ซึ่งในปีนี้ถือว่าเป็น ปีที่ 2 หลังจากที่ WWF-Australia เริ่มดำเนินการเป็นประเทศแรกในปี 2007 ที่เมืองซิดนีย์ โดยมีภาครัฐ และภาคเอกชน ตลอดจนประชาชน เข้าร่วมแคมเปญเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้สามารถลดการใช้พลังงานจากชั่วโมงปกติไปได้กว่า 10%
และในปีนี้กรุงเทพมหานคร เป็นหนึ่งในสามเมืองใหญ่จากภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่เข้าร่วมในโครงการนี้ โดยกำหนดวันพร้อมใจปิดไฟและลดการใช้พลังงานใน วันที่ 29 มีนาคม ในเวลา 20:00 - 21:00 น. ตามเวลาท้องถิ่นของแต่ละประเทศ
โดย “บีม-กวี ตันจรารักษ์” ในฐานะทูต WWF ประเทศไทย ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับแคมเปญนี้ว่า “ ก็อย่างที่ทราบกันดีอยู่แล้วนะครับว่า ตอนนี้ทั่วโลกของเรากำลังเกิดวิกฤตเกี่ยวกับภาวะโลกร้อนอย่างหนัก ทาง WWF จึงได้ริเริ่ม Earth Hour Campaign หรือ "ปิดไฟ หนึ่งชั่วโมง เพื่อลดโลกร้อน" โดยทาง WWF ประเทศไทย ได้ร่วมกับ กรุงเทพมหานคร ประสานความร่วมมือไปยังหน่วยงานภาครัฐ และเอกชนต่างๆ อย่างเช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, กระทรวงศึกษาธิการ , สำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา , สภาอุตสาหกรรม แห่งประเทศไทย , สมาคมโรงแรมไทย, สมาคมธนาคารไทย, ขสมก., บริษัท รถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด, การไฟฟ้าฝ่ายผลิต , การไฟฟ้านครหลวง, สยามพารากอน, เดอะ มอลล์ กรุ๊ป, 7-11, CP, ช่อง 3, ช่อง 7 โดยจะจัดให้มีการปิดไฟลดการใช้พลังงาน เป็นเวลา 1 ชั่วโมง ใน วันที่ 29 มีนาคม ระหว่าง 20.00- 21.00 น. ที่ลานเซ็นทรัลเวิลด์ และถนนสายหลัก อาทิ ถนนเยาวราช ถนนข้าวสาร ถนนสีลม และ ถนนสุขุมวิท
และในวันนั้น บีม ก็จะไปร่วมเดินรณรงค์ และนับถอยหลังปิดไฟ 1 ชั่วโมง ณ ลานเซ็นทรัลเวิลด์ ด้วยครับ ก็อยากขอเชิญชวนเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ และประชาชนทุกคน มาร่วมกันลดการใช้พลังงาน ปิดไฟในดวงที่ไม่จำเป็น รวมถึงการปิดแอร์ ซึ่งทางการไฟฟ้านครหลวง ประมาณการว่า แค่เราดับไฟดวงที่ไม่จำเป็นเพียง 1 ชม. ในวันนั้น จะสามารถลดการใช้พลังงานไฟฟ้าได้ประมาณ 20 — 30 % คือ ประมาณ 1 ล้านกิโลวัตต์ ประหยัดเงินได้ประมาณ 2 ล้านบาท และถ้าเรามีการปฏิบัติอย่างจริงจังต่อเนื่อง ไม่ใช่ทำเป็นกระแสแค่วันนั้นวันเดียว ในปีหนึ่งๆ เราจะสามารถลดการใช้พลังงานได้อย่างมากมายเลยทีเดียวครับ อย่ามองว่าภาวะโลกร้อนเป็นเรื่องไกลตัวนะครับ เพราะจริงๆ แล้ว อยู่ใกล้ๆ ตัวเรานี่เอง ซึ่งเราเองก็สามารถช่วยลดปัญหาดังกล่าวได้ ด้วยการประหยัดการใช้พลังงานในสิ่งที่ไม่จำเป็นลง ซึ่งก็ถือเป็นการลดภาวะการใช้จ่ายของตัวเรา และครอบครัว รวมทั้งถือเป็นการช่วยประเทศชาติของเราด้วยครับ”