กรุงเทพฯ--8 พ.ย.--สิงห์ เอสเตท
สิงห์ เอสเตท และ บริษัท แม็กซ์ ฟิวเจอร์ จำกัด ในฐานะผู้บริหารอาคารซันทาวเวอร์สและตลาดซันพลาซา ผนึกภาครัฐเขตจตุจักร และพันธมิตรบริษัทผู้เช่าอาคารซันทาวเวอร์ส และบริษัทใกล้เคียงในย่านวิภาวดี รวมกว่า 20 บริษัท พร้อมด้วยพ่อค้าแม่ค้าในตลาดซันพลาซาร่วมเป็นภาคีรณรงค์ลดปัญหาขยะ และส่งเสริมโครงการวิภาวดีไม่มีขยะภายใต้แคมเปญ Let's Go Green, Save The Earth ซึ่งเป็นการประกาศเปลี่ยนมาใช้บรรจุภัณฑ์ทดแทนพลาสติก และเริ่มต้นจากการลดปริมาณการใช้ถุงพลาสติกหูหิ้วแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง (Single-use Plastic Bag) ภายในบริเวณศูนย์อาหารและตลาดซันพลาซา โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นลูกค้าในตลาดซันพลาซาและประชาชนโดยรอบกว่า 10,000 คน
นายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า "ปัญหาขยะพลาสติกนับเป็นภาระเร่งด่วนที่ทุกฝ่ายกำลังเร่งหาแนวทางรับมือและแก้ไขร่วมกันโดยเฉพาะขยะพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง หรือที่เรียกว่า Single-use Plastic ซึ่งส่งผลกระทบต่อทั้งสิ่งแวดล้อม และสุขภาพของชุมชน รวมทั้งการจัดการอย่างถูกวิธีเป็นได้ยากเนื่องจากปริมาณขยะพลาสติกจำนวนมหาศาล นำไปสู่ปัญหามลพิษทางทะเลที่รุนแรง รวมถึงความกังวลในเรื่องไมโครพลาสติกในห่วงโซ่อาหารที่อาจเป็นความเสี่ยงต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ สิงห์ เอสเตท ได้ตระหนักถึงปัญหาและต้องการมีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อปัญหานี้ จึงได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ "วิภาวดี ไม่มีขยะ" โดยเครือข่ายเพื่อความยั่งยืนแห่งประเทศไทย (Thailand Responsible Business Network: TRBN) นอกจากนั้นยังได้ปรับกระบวนการภายในองค์กรให้ลด ละ เลิก การใช้พลาสติก และส่งเสริมการหมุนเวียนทรัพยากร (Upcycling) หรือการสร้างมูลค่าให้กับขยะพลาสติก เพื่อสร้างองค์กรที่ปลอดขยะพลาสติกภายในปี 2565
ล่าสุดทาง สิงห์ เอสเตท ได้ร่วมกับ บริษัท แม็กซ์ ฟิวเจอร์ จำกัด บริษัทในเครือ ในฐานะผู้บริหารอาคารซันทาวเวอร์สและตลาดซันพลาซา จัดทำโครงการ Let's Go Green, Save The Earth ณ บริเวณตลาดซันพลาซา ตั้งอยู่ในซอยเฉยพ่วง โดยได้รับความร่วมมือจากบริษัทพันธมิตรผู้เช่าอาคารซันทาวเวอร์ส และบริษัทใกล้เคียงในย่านวิภาวดี รวมกว่า 20 บริษัท พ่อค้าแม่ค้าในตลาด และเขตจตุจักรร่วมเป็นภาคี โดยแบ่งเป็นเฟสที่ 1 มุ่งทำให้ตลาดซันพลาซาเป็นตลาดและชุมชนต้นแบบในการสร้างความตระหนักรู้การลดการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง มีเป้าหมายเป็นกลุ่มพนักงานออฟฟิศ ประชาชนที่มาใช้บริการบริเวณตลาดซันพลาซา และชุมชนโดยรอบรวมกว่า 10,000 คน รวมทั้งตั้งเป้าลดปริมาณขยะพลาสติกภายในตลาดซันพลาซาลงอย่างน้อย 20% ต่อปี พร้อมกันนี้ยังรณรงค์ให้พ่อค้าแม่ค้าและประชาชนเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมลดปริมาณการใช้ถุงพลาสติกหูหิ้วแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง และหันมาใช้บรรจุภัณฑ์ทดแทนพลาสติก หรือภาชนะที่ผลิตจากวัสดุที่สามารถย่อยสลายได้ในธรรมชาติ ซึ่งได้เริ่มโครงการตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. ที่ผ่านมา ขณะนี้มีร้านค้าให้ความร่วมมือแล้วกว่า 80% จากร้านค้าทั้งหมดที่มีมากกว่า 100 ร้านค้า รวมทั้งภายในตลาดยังได้รับการสนับสนุนจากน้ำสิงห์ในการเปลี่ยนขวดน้ำพลาสติกเป็นขวดแก้วทั้งหมด ด้านลูกค้าที่นำถุงผ้าหรือบรรจุภัณฑ์มาเองก็จะได้รับสิทธิพิเศษ อาทิ ได้รับส่วนลดพิเศษหรือเพิ่มปริมาณสินค้า รวมทั้งมีกิจกรรมสร้างแรงจูงใจ "แชะ แชร์ โชว์" โดยลูกค้าสามารถถ่ายภาพตนเองถือถุงผ้า ใช้แก้วน้ำส่วนตัว หรือใช้กล่องใส่อาหารแทนพลาสติก และแชร์ภาพผ่านทางโซเซียลมีเดียของตนเอง พร้อมใส่ #SgoesGreen เพื่อสะสมแต้มลุ้นรับรางวัลมูลค่ากว่า 100,000 บาท อาทิ ตั๋วเครื่องบินไป – กลับ ภายในประเทศ บัตรเงินสดมูลค่า 1,000 บาท รวมทั้งของพรีเมียมต่างๆ มากมาย ส่วนเฟส 2 เตรียมจัดทำเว็บไซต์ตลาดซันพลาซาเพื่อเป็นสื่อกลางรับสมัครพ่อค้าแม่ค้าที่มีแนวคิดหรือด้านการลดใช้พลาสติก มาร่วมอุดมการณ์สร้างชุมชนปลอดขยะพลาสติก โดยคาดว่าจะสามารถก้าวสู่การเป็นชุมชนปลอดขยะพลาสติกได้ภายในปี 2565
ทั้งนี้บริษัทต่างๆ ที่ร่วมเป็นภาคีในโครงการยังได้มีการจัดทำกิจกรรมเพื่อรณรงค์เรื่องขยะให้พนักงานภายในองค์กรของตนอีกด้วย อาทิ บริษัท ซิมโฟนี่ คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) ได้จัดทำโครงการรณรงค์การแยกขยะให้ถูกประเภท บริษัท ฟูจิ ซีร็อกซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้จัดแคมเปญ CSR ภายในองค์กรให้พนักงานนำขยะหรือของที่สามารถรีไซเคิลมาแลกเป็นถุงผ้าได้ และ บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ประชาสัมพันธ์เรื่องการลดการใช้ถุงพลาสติกในองค์กร พร้อมมีจุดยืม – คืน ถุงผ้า บริเวณทางเข้าออกของอาคาร
"นอกจากนั้นสิงห์ เอสเตท มีแผนที่จะนำโมเดลโครงการ Let's Go Green, Save The Earth ไปต่อยอดกับทุกธุรกิจของบริษัทในระยะยาว โดยแผนระยะสั้นจะนำโครงการดังกล่าวไปรณรงค์ที่อาคารสิงห์ คอมเพล็กซ์ ในย่านอโศก - เพชรบุรี ด้วยเช่นกัน" คุณนริศ กล่าวปิดท้าย