กรุงเทพฯ--11 พ.ย.--มิดัส คอมมิวนิเคชั่น อินเตอร์เนชั่นเนล
เต็ดตรา แพ้ค ผู้นำเสนอโซลูชั่นการแปรรูปและบรรจุภัณฑ์สำหรับอาหารชั้นนำของโลก เปิดเผยผลงานวิจัยระดับนานาชาติซึ่งดำเนินการร่วมกับ บริษัท อิปซอสส์ (Ipsos) เกี่ยวกับความต้องการของผู้บริโภคที่มีการเรียกร้องมากที่สุดในสองประเด็น ได้แก่ สิ่งแวดล้อม และ สุขภาพ ซึ่งในอดีต แนวคิดทั้งสองเรื่องนี้ได้มีการพูดถึง สื่อสาร และเผยแพร่โดยแยกประเด็นกัน อย่างไรก็ดี แนวคิดทั้งสองได้มีการเชื่อมโยงเป็นเรื่องเดียวกันมากยิ่งขึ้นและสร้างโอกาสให้กับแบรนด์อาหารและเครื่องดื่มในการวางแผนการตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์ในช่วง 12 เดือนข้างหน้านี้
ปัจจุบัน ผู้บริโภคจำนวนถึง 2 ใน 3 เชื่อว่าเรากำลังก้าวสู่จุดพลิกผันด้านสิ่งแวดล้อม และมีความเชื่อมากขึ้นว่าตนเองมีส่วนรับผิดชอบโดยตรงต่อโลกและต่อสุขภาพของตนเองด้วย เนื่องจากประเด็นปัญหาสิ่งแวดล้อมเริ่มปรากฏเด่นชัดขึ้นในชีวิตประจำวันทำให้ความวิตกกังวลถึงผลกระทบที่จะเกิดกับสุขภาพของเราเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ผู้บริโภคทุกวันนี้ราว 60% เชื่อว่าสุขภาพและความเป็นอยูที่ดีในชีวิตของตนเองได้รับผลกระทบอย่างมากจากปัญหาสิ่งแวดล้อม และในฐานะที่เป็นอุตสาหกรรมเดียวที่สามารถเชื่อมโยงประเด็นสิ่งแวดล้อมให้เข้ากับการใช้ชีวิตในระดับปัจเจกบุคคลผ่านการสื่อสารในเรื่องสุขภาพได้ ทำให้แบรนด์อาหารและเครื่องดื่มต่าง ๆ มีโอกาสขับเคลื่อนความเปลี่ยนแปลงได้โดยผ่านการสื่อสารกับผู้บริโภคถึงหัวข้อเหล่านี้ เพื่อตอบสนองความต้องการเร่งด่วนที่กำลังเพิ่มสูงขึ้น
เพื่อช่วยสนับสนุนแบรนด์ต่าง ๆ ในการวิเคราะห์แนวทางดำเนินงานในเรื่องนี้ เต็ดตรา แพ้ค อินเด็กซ์ 2019 ได้จำแนกกลุ่มผู้บริโภคขึ้นใหม่หกกลุ่ม โดยแต่ละกลุ่มมีทัศนคติที่แตกต่างกันในเรื่องสุขภาพและสิ่งแวดล้อม ซึ่งแสดงให้เห็นถึงโอกาสที่ชัดเจนในการกำหนดผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายและแนวทางการสื่อสารสาระสำคัญของแบรนด์อาหารและเครื่องดื่ม เพื่อเชื่อมโยงสองแนวคิดเรื่องสุขภาพและสิ่งแวดล้อมให้เป็นเรื่องเดียวกัน
ในขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างสุขภาวะของโลกและสุขภาพของผู้คนเริ่มชัดเจนมากขึ้นทั่วโลก การให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ยังมีระดับที่แตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ ยกตัวอย่างเช่น ในประเทศไทย เต็ดตรา แพ้ค อินเด็กซ์ 2019 ได้แสดงให้เห็นถึงกรณีศึกษาของโรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย ในกรุงเทพฯ ซึ่งให้บริการน้ำดื่มบรรจุกล่องเต็ดตรา แพ้ค รุ่นเต็ดตรา พริสมา อะเซ็ปติค (Tetra Prisma(R) Aseptic) ขนาด 500 มล. แก่ลูกค้า เพื่อสื่อสารถึงมาตรการลดการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวในโรงแรมให้น้อยที่สุด พร้อมให้ข้อมูลว่ากล่องเครื่องดื่มเหล่านี้สามารถนำไปรีไซเคิลได้อย่างไรบ้างอีกด้วย
รายงานผลวิจัยในปีนี้นำเสนอข้อมูลเด่นที่น่าสนใจ ดังนี้
- กลุ่มผู้บริโภค 6 กลุ่มใหม่ โดยแต่ละกลุ่มมีทัศนคติที่แตกต่างกันในเรื่องสุขภาพและสิ่งแวดล้อม
- ความรู้สึกรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของตนเองที่เพิ่มสูงขึ้น
"อาหารและเครื่องดื่ม น่าจะเป็นอุตสาหกรรมแรกๆ ที่เล็งเห็นถึงเทรนด์การเชื่อมโยงกันเรื่องสุขภาพและสิ่งแวดล้อมที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้" นายสุภนัฐ รัตนทิพ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท เต็ดตรา แพ้ค (ประเทศไทย) จำกัด กล่าว "สิ่งนี้สร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้แก่แบรนด์ต่าง ๆ ในการเชื่อมต่อความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งและมีความหมาย เข้าถึงระดับส่วนบุคคลกับผู้บริโภค ผ่านการให้ความสำคัญและการสื่อสารสองแนวคิดนี้ไปพร้อมกัน"
ปัจจุบัน เต็ดตรา แพ้ค อินเด็กซ์ ได้ดำเนินการจัดทำมาถึงฉบับที่ 12 ถือเป็นรายงานประจำปีที่เน้นการนำเสนอข้อมูลเชิงลึกถึงเทรนด์ทั่วโลกและโอกาสในการสร้างสรรค์อนาคตของอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม
สำหรับงานวิจัยทั่วโลกในปีนี้ ซึ่งดำเนินการร่วมกับ บริษัท อิปซอสส์ (Ipsos) ได้ทำการสำรวจที่เชื่อมโยงสองแนวคิดเรื่องสุขภาพและสิ่งแวดล้อมให้เข้าไว้ด้วยกัน และจำลองกลุ่มผู้บริโภคที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานความชื่นชอบ ทัศนคติ และพฤติกรรมที่แตกต่างกันไว้ในงานศึกษาครั้งนี้
เกี่ยวกับเต็ดตรา แพ้ค
เต็ดตรา แพ้ค เป็นบริษัทผู้นำของโลกในด้านกระบวนการผลิตและบรรจุอาหาร เราทำงานอย่างใกล้ชิดกับผู้ขายสินค้าและลูกค้าของเรา ด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัย เป็นนวัตกรรมที่ทันสมัย เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และตอบสนองความต้องการของผู้คนนับล้านในกว่า 160 ประเทศ ด้วยพนักงานมากกว่า 24,000 คน ทั่วโลก เต็ดตรา แพ้ค เชื่อมั่นในความเป็นผู้นำอุตสาหกรรมที่มีความรับผิดชอบและแนวทางการดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืน คำขวัญของเต็ดตรา แพ้คที่ว่า "ปกป้อง ทุกคุณค่า" (PROTECTS WHAT'S GOOD) นั้น สะท้อนให้เห็นถึงปรัชญาในการดำเนินธุรกิจของเราที่จะทำให้อาหารปลอดภัยและมีอยู่พร้อมสำหรับการบริโภคในทุกๆ ที่ทั่วโลก สามารถค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเต็ดตรา แพ้ค ได้ที่ www.tetrapak.com/th
เกี่ยวกับ PLANET POSITIVE
เมื่อเร็ว ๆ นี้ เต็ดตรา แพ้ค ได้เปิดตัวแคมเปญ Planet Positive เพื่อกระตุ้นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในกลุ่มอุตสาหกรรมให้มุ่งสู่ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนแบบคาร์บอนต่ำ การเคลื่อนไหวครั้งนี้ แสดงถึงแนวทางการคิดรูปแบบใหม่ที่เน้นการกระตุ้นทั้งซัพพลายเออร์ คู่ค้าทางธุรกิจ และภาคธุรกิจต่าง ๆ ให้หันมามองร่วมกันถึงประเด็นปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมทั่วโลกในด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและขยะ โดยเปิดมุมมองด้านความยั่งยืนให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น มากไปกว่าการรีไซเคิลและการใช้ซ้ำ โดยรวมไปถึงผลกระทบจากการปล่อยก๊าซคาร์บอนจากวัตถุดิบและอุตสาหกรรมการผลิต
ด้วยสำนึกพื้นฐานว่าบรรจุภัณฑ์ควรมีความคุ้มค่ามากกว่าราคาของตัวเอง ทำให้แนวคิดความยั่งยืนกลายเป็นหลักการสำคัญในการดำเนินธุรกิจของเต็ดตรา แพ้ค และด้วยความตระหนักถึงความสำคัญของการแก้ไขปัญหาผลกระทบทั้งหมดจากการดำเนินธุรกิจ เต็ดตรา แพ้ค จึงพยายามใช้พลังงานแบบคาร์บอนต่ำ ยกระดับประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ลดปริมาณขยะอาหาร และลดผลกระทบต่อทรัพยากรที่ใช้ทั้งพื้นที่ดินและน้ำ บริษัทตั้งเป้าหมายในการผลิตบรรจุภัณฑ์ที่ทำจากพืชหรือวัสดุบรรจุภัณฑ์รีไซเคิล และทั้งหมดต้องสามารถนำกลับมารีไซเคิลได้โดยยังคงมาตรฐานด้านความปลอดภัยทางอาหารโดยสมบูรณ์ ในขณะเดียวกัน เต็ดตรา แพ้ค ยังมุ่งมั่นลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ถึง 42% ภายในปี พ.ศ. 2573 และ 58% ภายในปี พ.ศ. 2583 โดยเปรียบเทียบกับการดำเนินงานในปี พ.ศ. 2558
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับแคมเปญ Planet Positive ที่ www.tetrapak.com/sustainability/planet-positive