กรุงเทพฯ--14 พ.ย.--มีเดีย แพลนเนอร์ คอนซัลแทนท์
บมจ.เอเชียกรีน เอนเนอจี (AGE) แจ้งงบ 9 เดือนแรกของปี 62 โชว์รายได้รวม แตะ 4,774 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิ 237 ล้านบาท ส่งผลครึ่งปีแรก กวาดยอดขายถ่านหิน 2.14 ล้านตัน ด้านผู้บริหาร " พนม ควรสถาพร " เผยโค้งสุดท้าย ลุยขยายฐานลูกค้าในประเทศเพิ่ม แบบเชิงรุกมากขึ้น พร้อมลุยธุรกิจให้บริการโลจิสติกส์ขนส่งทางน้ำ – ทางบก - ท่าเรือ - คลังสินค้า สั่งต่อเรือเพิ่ม 12 ลำ จากปัจจุบันมีอยู่แล้ว 24 ลำ และต่อยอดธุรกิจใหม่ด้านพลังงานให้บริการผลิตและจำหน่ายไอน้ำ ลมร้อนและไฟฟ้าในโรงงานอุตสาหกรรม เสริมความแข็งแกร่งของผลงานอย่างยั่งยืนในอนาคต
นายพนม ควรสถาพร ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอเชีย กรีน เอนเนอจี จำกัด (มหาชน) หรือ AGE ผู้จัดจำหน่ายถ่านหินบิทูมินัส (ถ่านหินสะอาด) เปิดเผยถึงผลประกอบการงวด ไตรมาส 3/2562 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2562 ว่า บริษัทฯ มีรายได้รวม 1,408.7 ล้านบาท ลดลง ร้อยละ 37 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีรายได้จากธุรกิจขายถ่านหินอยู่ที่ 1,318.1 ล้านบาท และ รายได้จากธุรกิจให้บริการด้านโลจิสติกส์ขนส่งทางน้ำ และทางบก รวมทั้งการให้บริการท่าเรือและคลังสินค้า 90.5 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิ อยู่ที่ 85.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น ร้อยละ 538.4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 13.4 ล้านบาท
ส่วนผลการดำเนินงานในงวด 9 เดือนแรกปี 2562 ของบริษัทฯ มีรายได้รวม 4,774 ล้านบาท ลดลง ร้อยละ 18.7 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งบริษัทฯ มีรายได้รวม อยู่ที่ 5,876 ล้านบาท โดยในงวด 9 เดือนแรก ปี 2562 มีปริมาณขายถ่านหินอยู่ที่ 2.14 ล้านตัน ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 237.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น ร้อยละ 157.9 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 92 ล้านบาท จากมาตรการลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และการลดต้นทุนโลจิสติกส์ทั้งทางบกและทางน้ำ จากการใช้บริการของบริษัทในเครือ
"ผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/2562 ถือว่าเป็นที่น่าพอใจ จากมาตรการลดต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต การขยายฐานลูกค้าในประเทศและรายได้จากธุรกิจให้บริการโลจิสติกส์ที่เพิ่มขึ้น" นายพนมกล่าว
ประธานกรรมการบริหาร บมจ.อเชีย กรีน เอนเนอจี (AGE) กล่าวถึงภาพรวมธุรกิจในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้ แม้ว่าจะมีปัจจัยกดดันจากหลายๆ ด้าน ทั้งปัจจัยเศรษฐกิจ และการแข่งขัน แต่บริษัทฯ ก็ยังคงรักษาระดับมาตรฐาน รวมถึงยังคงเน้นเจาะตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ อย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ยังอยู่ระหว่างการขยายการให้บริการในส่วนของธุรกิจโลจิสติกส์ ด้านขนส่งทางน้ำ และทางบก รวมทั้งการให้บริการท่าเรือและคลังสินค้ามากขึ้น โดยได้ดำเนินการสั่งต่อเรือเพิ่มอีก 12 ลำ คาดว่าจะทยอยส่งมอบได้ทั้งหมดในปี 2563 ส่งผลให้บริษัทฯ มีจำนวนกองเรือลำลียง เพิ่มขึ้นเป็น จำนวน 36 ลำ และมีการพัฒนาพื้นที่ท่าเรือเพิ่มเติม ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จและเริ่มใช้งานได้ช่วงต้นปี 2563 ซึ่งจะเพิ่มปริมาณการขนถ่ายสินค้าหน้าท่าเรือได้เพิ่มมากยิ่งขึ้น
พร้อมทั้งเดินหน้าการลงทุนในส่วนของธุรกิจพลังงานด้านการจัดหาและการให้บริการด้านสาธารณูปโภคให้แก่โรงงานอุตสาหกรรมทั่วไป อาทิ การผลิตและจำหน่าย ไอน้ำ ลมร้อน ไฟฟ้าและน้ำใช้ สำหรับโรงงานอุตสาหกรรม โดยใช้เชื้อเพลิงถ่านหิน หรือเชื้อเพลิงอื่นๆในการผลิต ตามความประสงค์ของลูกค้า ซึ่งมั่นใจว่าจะสร้างความแข็งแกร่งในด้านของผลการดำเนินงานของบริษัทในอนาคตมากยิ่งขึ้น