กรุงเทพฯ--14 พ.ย.--สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
วันนี้ (14 พ.ย.62) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการอำนวยการด้านบริหารจัดการทรัพยากรน้ำครั้งที่ 22562 และประธานการประชุมคณะกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทย ครั้งที่ 2/2562 ณ ห้องประชุม 301 ชั้น 3 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล เพื่อติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงานตามมาตรการรองรับสถานการณ์ภัยแล้งปี 2562/63 ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 ต.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งจากการวิเคราะห์ติดตามสภาพอากาศ และคาดการณ์ปริมาณฝนในเดือนพฤศจิกายน พบว่า ปริมาณฝนรวมในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง จะมีค่าต่ำกว่าค่าปกติประมาณ 30% ภาคตะวันออก กรุงเทพมหานครและปริมณฑลจะมีปริมาณฝนรวมต่ำกว่าค่าปกติประมาณ 20% ส่วนภาคใต้ฝั่งตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก จะมีปริมาณฝนรวมใกล้เคียงค่าปกติ ส่วนเดือนธันวาคม ปริมาณฝนรวมทั้งประเทศต่ำกว่าค่าปกติประมาณ 50% ภาคใต้ฝั่งตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก จะมีปริมาณฝนรวมต่ำกว่าค่าปกติประมาณ 20% และเดือนมกราคม ปริมาณฝนรวมทั้งประเทศต่ำกว่าค่าปกติประมาณ 50% ส่วนภาคใต้ฝั่งตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตกจะมีปริมาณฝนรวมใกล้เคียงค่าปกติ ขณะที่ปริมาณน้ำในแหล่งน้ำมีทั้งสิ้น 53,316 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 65 แหล่งน้ำขนาดใหญ่ 38 แห่ง ปริมาณน้ำใช้การ 23,768 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 50 โดยพบว่ามีถึง 10 เขื่อนขนาดใหญ่ที่มีปริมาณน้ำใช้การน้อยกว่า 30% อาทิ เขื่อน ภูมิพล กระเสียว จุฬาภรณ์ อุบลรัตน์ ขณะที่แหล่งน้ำขนาดกลางน้ำน้อยจำนวน 74 แห่ง ส่วนใหญ่อยู่บริเวณภาคเหนือ 28 แห่ง อีสาน 37 แห่ง
ดร.สมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยว่า จากการคาดการณ์สภาพอากาศ ปริมาณน้ำต้นทุนที่มีอยู่ปัจจุบัน รองนายกฯ ได้เน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินมาตรการรองรับสถานการณ์ภัยแล้งปี 2562/63 โดยเฉพาะการป้องกันผลกระทบในพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภค ตามที่การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.)ได้สำรวจพื้นที่เสี่ยงไว้ล่วงหน้า แบ่งเป็น ในเขต กปภ. 22 จังหวัด นอกเขต 38 จังหวัด ขณะเดียวกัน ที่ประชุมได้มอบหมายให้กระทรวงเกษตรฯ กำหนดมาตรการรองรับพื้นที่ปลูกข้าวนาปีต่อเนื่องปี 2562 โดยไม่ให้กระทบต่อแผนการจัดสรรน้ำฤดูแล้ง ปี 2562/63 เนื่องจากในช่วงฤดูฝนที่ผ่านมีการจัดสรรน้ำทั้งประเทศเกินแผน จำนวน 1,350 ล้าน ลบ.ม. โดยลุ่มน้ำที่จัดสรรน้ำเกินแผน ได้แก่ ลุ่มน้ำเจ้าพระยาใหญ่จัดสรรน้ำเกินแผน จำนวน 495 ล้าน ลบ.ม. ลุ่มน้ำภาคตะวันตกจัดสรรน้ำเกินแผน จำนวน 579 ล้าน ลบ.ม. และลุ่มน้ำภาคใต้จัดสรรน้ำเกินแผน จำนวน 549 ล้าน ลบ.ม. ขณะที่พื้นที่ปลูกข้าวนาปีจากข้อมูลดาวเทียม (ณ 7 พ.ย.62) พบว่า พื้นที่ปลูกข้าวนาปี 60.08 ล้านไร่ เก็บเกี่ยวแล้ว 17.11 ล้านไร่ ทั้งนี้ ยังมีพื้นที่เพาะปลูกข้าวนาปีต่อเนื่อง 1.35 ล้านไร่ แบ่งเป็นพื้นที่ในเขตชลประทาน 1.27 ล้านไร่ และพื้นที่นอกเขตชลประทาน 0.08 ล้านไร่ ขณะที่การประเมินพื้นที่ปลูกข้าวนาปรัง 2562/63 จากข้อมูลดาวเทียม (7 พ.ย. 62) ลุ่มน้ำเจ้าพระยา 21 จังหวัด มีพื้นที่ปลูกข้าวนาปรัง 229,803 ไร่ รวมถึงที่ประชุมยังติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงานมาตรการรับมือกับน้ำหลากช่วงฤดูฝนในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยภาคใต้ปี 2562 จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ การติดตามและเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด การตรวจสอบอาคาร และระบบชลประทานในพื้นที่ ให้สามารถรองรับสถานการณ์น้ำได้อย่างเต็มศักยภาพ เป็นต้น
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังมีการติดตามสถานการณ์น้ำแม่น้ำโขงที่ลดลงในช่วงฤดูแล้ง โดยสถานการณ์เอลนีโญจะยังคงมีผลต่อภูมิภาคทำให้ไม่มีปริมาณฝนตกในพื้นที่ลุ่มน้ำโขง ซึ่งที่ประชุมได้พิจารณาทั้งมาตรการแก้ไขปัญหาระหว่างประเทศ โดยมอบหมาย สทนช.เร่งดำเนินการใช้มาตรการด้านความร่วมมือระหว่างประเทศในการผลักดันและแก้ปัญหาแม่น้ำโขง แลกเปลี่ยนข้อมูลสถานการณ์น้ำแล้งในภูมิภาค และมาตรการภายในประเทศในระยะเร่งด่วนป้องกันผลกระทบกับวิถีชีวิตประชาชนและการประกอบอาชีพใน 3 ประเด็นหลัก คือ 1.จัดหาแหล่งน้ำสำรองและขุดเจาะบ่อน้ำบาดาล เพื่อสำรองปริมาณน้ำในการอุปโภค-บริโภค 2.มอบหมายกระทรวงมหาดไทยโดยจังหวัด (ริมแม่น้ำโขง) สร้างการรับรู้ความเข้าใจแนวโน้มสถานการณ์วิกฤติน้ำ ประชาสัมพันธ์ให้ผู้ใช้น้ำภาคการเกษตรและประมงได้รับทราบ และ 3.มอบหมายกระทรวงคมนาคมกำหนดมาตรการการขนส่งและการคมนาคมทางน้ำ รวมทั้งมาตรการรองรับการพังทลายของตลิ่งริมฝั่งโขงด้วย
"รองนายกฯ มอบให้หน่วยงานเร่งดำเนินการตามมาตรการแนวทางปฏิบัติตามมติ ครม. ที่ยังดำเนินการไม่แล้วเสร็จให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ทั้งเพื่อป้องกันภัยแล้ง และอุทกภัยทางภาคใต้ โดยต้องมีการเก็บกักน้ำทุกรูปแบบทั้งน้ำผิวดินและน้ำใต้ดิน มีการบริหารจัดการน้ำในฤดูแล้งปี 2562/63 อย่างรัดกุมเป็นไปตามมาตรการที่กำหนด รวมถึงประชาสัมพันธ์ สร้างการรับรู้ ให้ประชาชนรับทราบสถานการณ์ที่ถูกต้องรวมทั้งการช่วยเหลือของรัฐบาล และรายงานผลการดำเนินการต่อ สทนช.ทุกสัปดาห์เพื่อกำกับ ติดตามผลการดำเนินการ หรือปรับแผนดำเนินการให้สอดคล้องกับสถานการณ์" ดร.สมเกียรติ กล่าว
ดร.สมเกียรติ กล่าวเพิ่มเติมถึงผลการประชุมคณะกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทยด้วยว่า ที่ประชุมได้รับทราบถึงการเตรียมการของฝ่ายไทยตามระเบียบปฏิบัติ เรื่อง การแจ้ง การปรึกษาหารือล่วงหน้า และข้อตกลง (PNPCA) โครงการฯ เขื่อนหลวงพระบาง เพื่อเสนอต่อ สปป.ลาว ในการลดหรือบรรเทาผลกระทบข้ามพรมแดนที่อาจจะเกิดขึ้น โดยมีกรอบระยะเวลาดำเนินการ 6 เดือน คือ ตั้งแต่วันที่ 8 ต.ค. 62 จนถึง 7 เม.ย. 63 โดยขณะนี้ สทนช.ได้มีการแต่งตั้งคณะทำงานโครงการฯ เขื่อนหลวงพระบางทั้งด้านอำนวยการและด้านวิชาการ เพื่อวางแผนการชี้แจงข้อมูลสร้างการรับรู้ในพื้นที่ ส่งเสริมการมีส่วนร่วมจากภาคประชาชน จำนวน 3 ครั้ง ครอบคลุมพื้นที่ 8 จังหวัดริมน้ำโขง โดยเริ่มต้นจัดประชุมชี้แจงครั้งแรกในเดือน ธ.ค. 62 นี้ ซึ่งสทนช.จะรวบรวมข้อคิดเห็น ประเด็นข้อกังวลและห่วงใยจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่อย่างรอบด้าน และสร้างความตระหนักรู้ในการดำเนินงานเพื่อลดข้อขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ขณะเดียวกัน ยังให้ความเห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมของรัฐมนตรีทรัพยากรน้ำภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง – ล้านช้าง ซึ่งสทนช.จะนำเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาร่างแถลงการณ์ พร้อมมอบหมายรัฐมนตรีที่รับผิดชอบด้านทรัพยากรน้ำเข้าร่วมการประชุมโต๊ะกลมระดับรัฐมนตรีด้านทรัพยากรน้ำ ในวันที่ 9-11 ธ.ค. 62 ณ สาธารณรัฐประชาชนจีน.