กรุงเทพฯ--15 พ.ย.--เอ็ม ที มัลติมีเดีย
บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) หรือ TPIPL แจ้งกำไรสุทธิตามงบการเงินรวมในไตรมาส 3 ปี 2562 จำนวน 716 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 50.07% จากจำนวน 477 ล้านบาท ในไตรมาส 3 ปี 2561 ที่ผ่านมา
นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TPIPL กล่าวว่า "บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิใน Q3/62 รวม จำนวน 716 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 50.07% จากจำนวน 477 ล้านบาท ใน Q3/61 และในช่วง 9 เดือนแรก ปี 2562 มีกำไรสุทธิจำนวน 2,126 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 175.48% เมื่อเทียบกับจำนวน 772 ล้านบาท ในช่วง 9 เดือนแรก ปี 2561 เนื่องจากรายได้จากการขายเพิ่มขึ้น รวมทั้งอัตรากำไรที่สูงขึ้นของธุรกิจปูนซีเมนต์และเม็ดพลาสติก
นายประชัย กล่าวว่า "รายได้รวมในปีนี้คาดว่าจะเพิ่มขึ้นอยู่ในระดับ 39,000 ล้านบาท จากจำนวน 37,315 ล้านบาท ในปี 2561 และคาดว่ารายได้ของธุรกิจปูนซีเมนต์ในปี 2563 จะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ในประเทศ ที่จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากนโยบายการลงทุนของภาครัฐที่ชัดเจน เช่น โครงการขยายถนนมอเตอร์เวย์ กทม.–โคราช โครงการขยายสนามบินอู่ตะเภา และสนามบินสุวรรณภูมิเฟส 2 โครงการขยายท่าเรือแหลมฉบัง และท่าเรือมาบตะพุด โครงการขยายเส้นทางรถไฟฟ้าสีต่าง ๆ โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน โครงการรถไฟรางคู่ กทม.–หัวหิน และ กทม.–โคราช และโครงการรถไฟความเร็วสูง กทม.–โคราช โดยโครงการดังกล่าวจะส่งผลให้ภาคเอกชนเกิดความมั่นใจ และขยายการลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ตามแนวเส้นทางดังกล่าว โดยปัจจุบันในส่วนของภาคเอกชนได้มีการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่หลายโครงการ เช่น โครงการวันแบงคอก โครงการแบงคอกมอล์ล ทั้งนี้ในส่วนการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต บริษัทได้ลงทุนเพื่อลดต้นทุนการผลิตปูนซีเมนต์ เช่น การลงทุนในระบบสายพานลำเลียงวัตถุดิบ และระบบป้อนเชื้อเพลิง RDF"
"นอกจากนี้ บริษัท ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทย่อย (ถือหุ้น 70.24% โดยบริษัท) มีศักยภาพเติบโตจากการใช้กำลังการผลิตโรงไฟฟ้าเพิ่มขึ้นในระดับ 95% จากการลงทุนติดตั้งหม้อผลิตไอน้ำเพิ่มเติม และมีความพร้อมในการเข้าร่วมประมูลโครงการโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงขยะตามนโยบายของภาครัฐ ที่จะได้กำหนดเงื่อนไขการประมูล เช่น โครงการโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงขยะในจังหวัดสงขลา และนครราชสีมา นอกจากนี้ TPIPP ยังมีความสนใจในการเข้าไปมีส่วนร่วมในโครงการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับโรงไฟฟ้า ท่าเรือน้ำลึก และนิคมอุตสาหกรรม โดยกลุ่มบริษัทมีความพร้อมทั้งด้านเงินลงทุน และประสบการณ์จากการมีส่วนร่วมในการพัฒนาโครงการในลักษณะเดียวกันในพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก ทั้งนี้เพื่อให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจและชุมชนที่ยั่งยืนในภาคใต้ต่อไป
บริษัทพร้อมเดินหน้าขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง สร้างผลตอบแทนที่ดี ทุกการตัดสินใจของบอร์ดและผู้บริหาร ยึดมั่นในประโยชน์สูงสุดของบริษัท และผู้ถือหุ้นเป็นที่ตั้ง" นายประชัยกล่าว