กรุงเทพฯ--20 พ.ย.--แบรนด์ เวลท์
"PRIME" เดินหน้าลงทุน โซลาฟาร์มในกัมพูชา หลังผู้ถือหุ้นอนุมัติปลื้มผลงานโดดเด่น กำไรสุทธิเติบโต 28% เตรียมลงทุนเพิ่มทั่วเอเชีย
นาย สมประสงค์ ปัญจะลักษณ์ ประธานกรรมการบริษัท ไพร์ม โรด เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ 'PRIME' ผู้ผลิตพลังงานทดแทนระดับภูมิภาค กล่าวว่า "บริษัทฯขอขอบพระคุณที่ผู้ถือหุ้นได้ลงมติอนุมัติ ให้บริษัทฯเข้าลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนดินขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 78 เมกะวัตต์ (สัญญาจำหน่ายไฟฟ้า 60 เมกะวัตต์) ในจังหวัดกำปงชนัง ประเทศกัมพูชา ระยะเวลาขายไฟฟ้า 20 ปี ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการใหญ่ของประเทศกัมพูชา โดย PRIME ได้ชนะการประมูลโครงการดังกล่าว ซึ่งเป็นการประมูลระดับนานาชาติ ที่มีบริษัทผู้ผลิตไฟฟ้าจากทั่วโลกกว่า 100 บริษัทเข้าร่วมประมูล โดยล่าสุดบริษัทฯได้รับหนังสือยืนยันการได้รับโครงการ( Letter of Awards) จาก การไฟฟ้าแห่งประเทศกัมพูชา (EDC) เจ้าของโครงการ ภายใต้การสนับสนุนของ กระทรวงเหมืองแร่และพลังงานแห่งประเทศกัมพูชา ซึ่งบริษัทฯจะลงทุนในโครงการนี้ประมาณ 1,526 ล้านบาท ( 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) โดยมีกำหนดการจะก่อสร้างแล้วเสร็จ และเริ่มจำหน่ายไฟฟ้าภายในไตรมาส 4 ปี 2564"
ปัจจุบัน บริษัท ไพร์ม โรด เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็น 1 ในผู้นำในการบุกเบิก พัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ หรือ Solar Farmในประเทศไทย และ ได้ขยายการลงทุนในต่างประเทศ มีโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดกำลังการผลิตติดตั้งทั้งหมดรวม 287 เมกะวัตต์ โดยจำหน่ายจ่ายไฟฟ้าแล้ว 179 เมกะวัตต์ และอยู่ระหว่างพัฒนาและก่อสร้าง 108 เมกะวัตต์ โดยเป็นโรงไฟฟ้าในประเทศไทยจำนวน 132.3 เมกะวัตต์ ในประเทศญี่ปุ่นจำนวน 68.2 เมกะวัตต์ ในประเทศไต้หวันจำนวน 8.5 เมกะวัตต์ และ ประเทศกัมพูชาจำนวน 78 เมกะวัตต์และกำลังศึกษาการลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนเพิ่มเติมทั้งในและต่างประเทศ
นายสมประสงค์กล่าวว่า "บริษัทฯมีศักยภาพที่จะขยายธุรกิจและการลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ สำหรับในประเทศ บริษัทฯกำลังศึกษาโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนของรัฐบาล และโครงการโซลาร์รูฟท็อป ซึ่งทั้ง 2 โครงการมีศักยภาพและมูลค่าโครงการสูง ส่วนโครงการในต่างประเทศ
บริษัทฯเชื่อว่ายังมีโอกาสในการลงทุนในกัมพูชาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเป็น 1 ในประเทศกำลังพัฒนา ที่มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจและภาคอุตสาหกรรมและมีความต้องการพลังงานไฟฟ้าเพิ่มขึ้นในปริมาณมาก นอกจากนี้ บริษัทฯ กำลังศึกษาการลงทุนในประเทศ ไต้หวัน เวียดนาม ลาว มาเลเซีย ซึ่งเป็นประเทศที่มีศักยภาพการเติบโตสูง ซึ่ง PRIME มั่นใจว่าด้วยจุดแข็งของบริษัท คือ มีความเชี่ยวชาญ ในการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้า อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง ความได้เปรียบด้านต้นทุน มีพันธมิตรธุรกิจระดับโลก และการได้รับการยอมรับในระดับสากล รวมถึงจากสถาบันการเงินระดับนานาชาติ อีกทั้งผู้บริหารของบริษัทฯ มีประสบการณ์ในการพัฒนาโครงการพลังงานทดแทนในไทยกว่า 10 ปี จะทำให้มีโอกาสที่จะขยายการลงทุนได้อย่างต่อเนื่อง"
"สำหรับผลประกอบการช่วง 9 เดือนแรกปีนี้ มีอัตราการเติบโตที่ดี เนื่องจากมีโรงไฟฟ้าที่เริ่มจำหน่ายไฟฟ้ามากขึ้นกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน โดย PRIME มีรายได้รวม 488.2 ล้านบาท และ มีกำไรเบ็ดเสร็จ 206 ล้านบาท และมีอัตรากำไรสุทธิสูง 42.2% โดยบริษัทฯมีกำไร เบ็ดเสร็จเพิ่มขึ้นอย่างมาก เมื่อเปรียบเทียบกับผลขาดทุนเบ็ดเสร็จ 377.2 ล้านบาทในช่วง 9 เดือนแรกปี 2561 ของ บริษัท ฟู๊ด แคปปิตอล จำกัด (มหาชน)" ซึ่งบริษัทฯได้เข้าครอบครองกิจการ และจำหน่ายกิจการเดิมออกไป (หากเปรียบเที่ยบผลประกอบการเฉพาะในธุรกิจไฟฟ้า ของบริษัทฯ รายได้รวมงวดนี้เพิ่มขึ้น 29.32 % จากรายได้รวมในธุรกิจไฟฟ้า 377.5 ล้านบาทในช่วง 9 เดือนแรก ปี 2561 ขณะที่กำไรเบ็ดเสร็จเพิ่มขึ้น 28% จากกำไรเบ็ดเสร็จ 161 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับงบการเงิน ในธุรกิจไฟฟ้าในช่วง 9 เดือนแรกปี 2561)"
ปัจจุบัน บริษัท ไพร์ม โรด เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ 'PRIME' มีทุนจดทะเบียนชำระแล้วจำนวน 17,017,941,757 บาท (ราคาพาร์ 1 บาทต่อหุ้น) และมีสถานะการเงินที่ดี ข้อมูลทางการเงิน 9 เดือนแรกปี 2562 ของธุรกิจโรงไฟฟ้า มีอัตราหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นเพียง 1.33 เท่า โดยมีสินทรัพย์จำนวน 5,319 ล้านบาท และหนี้สินรวม 3,034 ล้านบาท และมีส่วนของ ผู้ถือหุ้นรวม 2,285 ล้านบาท มีอัตราผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น (ROE) 12% บริษัทฯ ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยทางอ้อม ด้วยการเข้าซื้อกิจการของ บริษัท ฟู๊ด แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) และ ได้เปลี่ยนกิจการเป็นธุรกิจ
ลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน และได้จำหน่ายธุรกิจอาหารออกไป โดยบริษัทฯ มีแผน จะขยายกิจการ ด้านพลังงานทดแทนอย่างต่อเนื่องทั้งในประเทศ อาทิ โครงการโซลาร์บนหลังคา (solar rooftop) โครงการ โรงไฟฟ้าชุมชนของรัฐบาลและในต่างประเทศทั้งในภูมิภาคอาเซียน และ เอเชียแปซิฟิค