กรุงเทพฯ--26 พ.ย.--แคปปิตอล วัน เรียลเอสเตท
นายวิทย์ กุลธนวิภาส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แคปปิตอล วัน เรียลเอสเตท จำกัด (Capital One Real Estate) บริษัทตัวแทนด้านอสังหาริมทรัพย์และที่ปรึกษาด้านการบริการตลาดและอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นบริษัทของคนไทย มีพอร์ตที่บริหารโครงการคุณภาพทั้งในทำเลสุขุมวิทและในจังหวัดศรีราชา รวมมูลค่ากว่า 30,000 ล้านบาท เปิดเผยถึงการรุกธุรกิจครั้งสำคัญของบริษัทฯว่า บริษัทแคปปิตอล วัน วางแผนในการขยายให้บริการลูกค้า รวมทั้งต่อยอดการเป็นบริษัทตัวแทนอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Agent) ชั้นนำในประเทศไทย ให้มีเครือข่ายไปทั่วโลก โดยล่าสุด บริษัทฯได้ร่วมลงนามสัญญากับบริษัท Keller Williams หรือ (KW) ซึ่งถูกจัดอันดับให้เป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา จัดตั้งบริษัทในประเทศไทยเป็นแห่งแรก ภายใต้ชื่อบริษัท KW Thailand มูลค่าความร่วมมือตามแผนในระยะสัญญาระยะยาว 20 ปี ผ่านการสร้างมูลค่าเพิ่มไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท
"ปัจจุบันตลาดอสังหาริมทรัพย์มีการเปลี่ยนแปลงไป เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญ เครือข่าย หรือที่เรารู้จักกันในด้านเน็ตเวิร์คได้เปลี่ยนแปลงเช่นกัน เราจะเห็นว่า การทำตลาดยากขึ้น แต่เราต้องปรับตัวโดยดิสรัปชั่นมาร์เก็ตให้ได้"
สำหรับแผนของความร่วมมือครั้งสำคัญในประเทศไทยนั้น ถูกกำหนดให้บริษัทใหม่ KW Thailand ในการขยายเครือข่ายให้ครอบคลุมทั่วประเทศไทย ตามแผน 5 ปี (2563-2567) วางเป้าหมายที่จะมีเครือข่ายและมีมูลค่าการขายที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยในเบื้องต้นหลังจากเปิดตัวบริษัทฯในไตรมาสแรกของปี 2563 (2020) ตั้งเป้าเปิดสาขาในจังหวัดสำคัญทางเศรษฐกิจไว้ 5 สาขา ซึ่งในบางจังหวัดอาจจะมีสาขามากกว่า 1 แห่ง ได้แก่ กรุงเทพมหานคร (กทม.) มี 2 สาขา, จังหวัดเชียงใหม่, พัทยา, ภูเก็ต อย่างละ 1 สาขา พร้อมสร้างเครือข่ายตัวแทนจำหน่าย (Agent) ในปีแรก (2563) ทั้งหมด 1,000 คน เพื่อสนับสนุนในด้านการขาย โดยมีการคัดทรัพย์บ้านมือสองบนทำเลที่มีศักยภาพ นำเสนอให้กับลูกค้าผ่านตัวแทนจำหน่าย คาดจะมียอดขายในส่วนของบริษัทใหม่ KW Thailand ไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท
โดย Keller Williams Realty Inc. เป็นบริษัทตัวแทนขายที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกาและทั่วโลก มีจำนวนตัวแทนขายทั้งหมดมากกว่า 180,000 คนทั่วโลก และมียอดขายในปี 2561 (2018) มากกว่า 9 ล้านล้านบาท จากประสบการณ์ของ Keller Williams Realty Inc. กับการพัฒนาเครือข่ายในสหรัฐอเมริกา โดยใช้เทคโนโลยีเป็นหัวใจสำคัญ ในการขาย จนก้าวสู่การเป็นบริษัทผู้นำด้านอสังหาริมทรัพย์ได้ภายในระยะเวลาเพียง 10 ปี ทำให้ บริษัทแคปปิตอล วันฯ มั่นใจจะสามารถเปลี่ยนแปลงตลาดขายอสังหาริมทรัพย์ให้มีระบบมากขึ้น และเพิ่มจำนวนลูกค้ามากขึ้น รวมทั้งพนักงานจะได้รับประสบการณ์ใหม่ ในการให้บริการ รวมทั้งการจัดการฐานข้อมูลอย่างเป็นระบบ หรือที่เรียกว่า Keller Cloud ที่จะทำให้ตัวแทนขายและลูกค้า เข้าถึงข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ได้ง่ายและสะดวกมากขึ้น การทำงานของพนักงานผ่านระบบ Keller Front Door ที่จะทำให้การเชื่อมโยงของตัวแทนขายที่มีอยู่ทั่วโลกทำงานได้ง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และการจ่ายผลตอบแทนให้กับตัวแทนขายผ่านระบบ Growth Share ที่ตัวแทนขายทุกคนในเครือข่ายที่สร้าง จะได้รับผลตอบแทนตามลำดับด้วย
ซึ่งในอนาคต การขายอสังหาริมทรัพย์โดยการพัฒนาเครือข่าย จะเป็นหัวใจหลักของช่องทางการตลาดที่เปลี่ยนไป และเกิดจาก Digital Disruption ทำให้ทุกคนสามารถเป็นตัวแทนขายได้จากช่องทางโซเชียลมีเดีย (Social Media) ของตัวเอง โดย KW จะพัฒนาแพลตฟอร์ม (Platform) เพื่อรองรับการทำงานให้ข้อมูลที่แม่นยำยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ มีการจัดตั้ง KW University ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาที่จดทะเบียนในสหรัฐอเมริกา จะมีโปรแกรมฝึกอบรม ตัวแทนขายอสังหาริมทรัพย์ ตามศักยภาพของแต่ละคน และกำลังอยู่ระหว่างการแปลหนังสือ The Millionaire Real Estate Agent-National Bestseller by New York Time ที่เขียนโดย Gary Keller , CEO Keller Williams Realty Inc. เป็นภาษาไทย เพื่อเป็นคู่มือสำคัญข้อแนะนำให้กับผู้ที่สนใจเปิดโอกาสให้ตัวเองเข้าสู่การขายอสังหาริมทรัพย์
นายวิทย์ กล่าวถึงแนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2563 ว่า ยังคงอยู่ในระดับชะลอตัว เนื่องจากผลกระทบต่อค่าเงินบาทที่มีผลต่อการส่งออกของไทย ทำให้เศรษฐกิจขยายตัวได้น้อยลง แต่คาดว่าผู้บริโภคส่วนหนึ่งจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการจ่ายเงินดาวน์ โดยจะต้องมีการเตรียมพร้อมเรื่องการเงินมากขึ้น ทำให้สถานการณ์ที่มีผลจากมาตรการ LTV จะเริ่มดีขึ้นกว่าปีนี้
"อย่างไรก็ตาม ที่อยู่อาศัยถือว่าเป็นปัจจัย 4 ซึ่งผู้บริโภคมีความต้องการอยู่แล้ว ดังนั้น จึงขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ หรือ เครื่องมือการขาย ที่จะสามารถเอาชนะตลาดที่ชะลอตัวลงได้ ทางบริษัทจึงถือว่า เป็นโอกาสและทางเลือกใหม่ ที่เราจะใช้เครื่องมือเพื่อทำให้ทั้งผู้ขายและตัวแทนขาย สามารถประกอบสบความสำเร็จไปด้วย"
อนึ่ง สำหรับภาพรวมของตลาดบ้านมือสองในประเทศไทยนั้น ตามข้อมูลของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ระบุว่าในปีที่ผ่านมา มูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ของบ้านมือสอง มีมูลค่ากว่า 290,000 ล้านบาท เป็นตัวเลขที่สูงขึ้นมาก ขณะที่ ในช่วงครึ่งแรกของปี 2562 การโอนกรรมสิทธิ์บ้านสร้างใหม่ (หรือบ้านที่โอนจากนิติบุคคล) มีจำนวน 52,206 หน่วย และโอนกรรมสิทธิ์บ้านมือสอง (บ้านที่โอนจากบุคคลธรรมดา) ประมาณ 36,006 หน่วย ทำให้สัดส่วนจำนวนหน่วยโอนกรรมสิทธิ์บ้านสร้างใหม่ต่อบ้านมือสองในครึ่งแรกปี 2562 เท่ากับ 59 : 41 ขณะที่มูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ของบ้านสร้างใหม่ มีมูลค่า 179,991 ล้านบาท และมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์บ้านมือสองมีมูลค่า 74,324 ล้านบาท ทำให้มีสัดส่วนมูลค่าบ้านสร้างใหม่ต่อบ้านมือสองเท่ากับ 71 : 29
บรรยายภาพ:
นาย วิทย์ กุลธนวิภาส CEO capital one real estate และนายBill sotoroff President KW worldwide ได้ลงนามข้อตกลงความร่วมมือในการขยายตลาดสู่ประเทศไทย ใน นาม KW Thailand