กรุงเทพฯ--26 พ.ย.--ฟิทช์ เรทติ้งส์
บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้น (National Short-term Rating) ของโปรแกรมการออกตั๋วแลกเงินมูลค่าไม่เกินหนึ่งหมื่นสองพันล้านบาท อายุไม่เกิน 270 วัน ซึ่งสามารถออกหมุนเวียนใหม่ได้ ของบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (Esso) ที่ระดับ 'F1(tha)'
ปัจจัยที่มีผลต่ออันดับเครดิต
การสนับสนุนที่แข็งแกร่งจากบริษัทแม่: ฟิทช์มองว่า Esso ได้รับการสนับสนุนอย่างมากจากบริษัทแม่ (บริษัท เอ็กซอนโมบิลคอร์ปอเรชั่น (ExxonMobil) และกลุ่มบริษัทในเครือ) ซึ่งเห็นได้จากการสนับสนุนทางการเงินจากบริษัทแม่ โดยบริษัทแม่และกลุ่มบริษัทในเครือได้เพิ่มเงินกู้ยืมระหว่างกันให้กับบริษัทฯ ในช่วงที่บริษัทฯ มีอัตราส่วนหนี้สินอยู่ในระดับสูงในปี 2557 และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาอัตราส่วนเงินกู้ยืมระหว่างกันต่อเงินกู้ยืมทั้งหมดของบริษัทฯ ยังคงสูงอยู่ที่ระดับร้อยละ 60-70 (ณ สิ้นเดือนกันยายน 2562 อยู่ที่ร้อยละ 67) แม้ว่าหนี้สินทั้งหมดและอัตราส่วนหนี้สินของบริษัทฯ จะลดลงมามากแล้วก็ตาม ซึ่งช่วยให้ Esso มีภาระหนี้สินกับบุคคลภายนอกที่ลดลง
Esso ยังสามารถใช้ประโยชน์จากเครือข่ายในการจัดซื้อน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป ใช้เทคโนโลยีและวิศวกรรมศาสตร์ รวมทั้งทรัพยากรบุคคล การวิจัยและพัฒนาต่างๆ จากกลุ่มบริษัท ExxonMobil เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานของบริษัทฯ โรงกลั่นของ Esso เป็นโรงกลั่นน้ำมันรายใหญ่อันดับสองของ ExxonMobil ในภูมิภาคเอเชีย
อัตราส่วนหนี้สินเพิ่มขึ้น: ฟิทช์คาดว่ากระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่ลดลง เนื่องจากค่าการกลั่น (refining margins) และส่วนต่างของราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบของสารพาราไซลีน (PX) ที่อ่อนแอลง รวมถึงการผลิตที่ลดลง เนื่องจากการหยุดการผลิตเพื่อซ่อมบำรุงใหญ่ น่าจะทำให้อัตราส่วนหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อกระแสเงินสดที่ได้จากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงของสินทรัพย์และหนี้สินจากการดำเนินงาน (FFO-adjusted net leverage) ของ Esso เพิ่มขึ้นอย่างมากในปี 2562 โดยอัตราส่วนหนี้สินสุทธิดังกล่าวได้เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 4.2 เท่าในปี 2561 จาก 1.1 เท่าในปี 2560 ซึ่งเกิดจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่ลดลงและการจ่ายเงินปันผลที่มากขึ้น ฟิทช์คาดว่าอัตราส่วนหนี้สินสุทธิดังกล่าวน่าจะปรับลดลงมาอยู่ในระดับ 3.5 เท่าถึง 4.3 เท่าในปี 2563-2565 เนื่องจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงานของ Esso น่าจะปรับตัวดีขึ้นในปี 2563 และผลกระทบต่อกระแสเงินสดของบริษัทฯ เนื่องจากแผนการลงทุนที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจะถูกลดทอนจากการจ่ายเงินปันผลที่คาดว่าจะลดลง
แผนการลงทุนเพิ่มขึ้น แต่จัดการได้: ฟิทช์คาดว่าแผนการลงทุนของ Esso จะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณปีละ 1.8 พันล้านบาท ในปี 2562-2564 (2561: 1.3 พันล้านบาท) เนื่องจากบริษัทฯ จะขยายสถานีบริการน้ำมันมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ใหม่ของสถานีบริการเดิมทั้งหมด นอกจากนี้ Esso จะยังคงมุ่งเน้นการลงทุนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการผลิตและการจัดจำหน่าย เพิ่มความหลากหลายของน้ำมันดิบที่นำมากลั่นเพื่อเพิ่มอัตราส่วนกำไร และกระจายผลิตภัณฑ์พรีเมี่ยมใหม่ๆ โดยโครงการเหล่านี้เป็นโครงการที่มีการลงทุนที่ไม่สูงนัก
ประโยชน์จากการบังคับใช้มาตรการใหม่: ฟิทช์คาดว่าค่าการกลั่นของอุตสาหกรรมยังคงได้รับผลกระทบทางลบในปี 2562 จากกำลังการผลิตใหม่ๆ ที่เพิ่มเข้ามา และความไม่แน่นอนของความต้องการใช้น้ำมันเนื่องจากสงครามการค้าระหว่างประเทศจีนกับสหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ตาม การที่องค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (International Maritime Organisation) บังคับใช้มาตรการที่กำหนดให้เรือทุกลำในโลกต้องเปลี่ยนเชื้อเพลิงที่ใช้อยู่ไม่ให้มีการปล่อยก๊าซซัลเฟอร์เกินร้อยละ 0.5 จากปัจจุบันเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 3.5 ในปี 2563 เป็นต้นไป น่าจะทำให้ความต้องการใช้น้ำมันดีเซลกำมะถันต่ำมากขึ้น ซึ่งน่าจะช่วยเพิ่มค่าการกลั่นสำหรับน้ำมันชนิดกลาง (Middle Distillate) ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อโรงกลั่นแบบคอมเพล็กซ์ที่มีการผลิตน้ำมันชนิดกลางได้มากกว่า Esso สามารถผลิตน้ำมันชนิดกลางได้ประมาณร้อยละ 45 ของผลิตภัณฑ์น้ำมันทั้งหมด
โรงกลั่นแบบคอมเพล็กซ์ที่มีสายการผลิตที่เชื่อมโยงกับการผลิตพาราไซลีน: อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงความสามารถในการผลิตที่เพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ที่สูงของโรงกลั่น ชื่อทางการค้าที่เป็นที่รู้จักมายาวนาน รวมถึงข้อได้เปรียบในการเข้าถึงวัตถุดิบผ่านทางกลุ่มบริษัท ExxonMobil ซึ่งช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนน้ำมันดิบและวัตถุการผลิตตามสภาวะตลาด การเชื่อมโยงกับการผลิตสารพาราไซลีน (PX) ยังช่วยเพิ่มความหลากหลายในผลิตภัณฑ์ และประสิทธิภาพในการผลิตผลิตภัณฑ์โดยรวม อีกทั้งยังช่วยลดความผันผวนจากอัตราส่วนกำไรจากการกลั่นของบริษัทฯ ได้ในระดับหนึ่ง แม้ว่ากำลังการผลิต PX ในภูมิภาคที่สูงในปัจจุบันจะทำให้ส่วนต่างระหว่างราคาผลิตภัณฑ์และวัตถุดิบอยู่ในระดับต่ำก็ตาม
Esso ยังเป็นผู้ค้าปลีกน้ำมันที่แข็งแกร่ง และมีชื่อทางการค้าที่เป็นที่รู้จักมายาวนานในธุรกิจค้าปลีกน้ำมันในประเทศไทย โดยมีสถานีบริการจำนวน 625 สถานี ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2562 Esso มีแผนที่จะขยายสถานีบริการน้ำมันมากขึ้นอย่างต่อเนื่องและรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดที่อยู่ในระดับที่สามถึงที่สี่ โดยบริษัทฯ ได้เพิ่มสถานีบริการน้ำมันใหม่ จำนวน 73 สถานีในปี 2561 และ 22 สถานีในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2562
ธุรกิจมีความผันผวนสูง: สถานะเครดิตของ Esso ยังพิจารณารวมถึงปัจจัยเสี่ยงจากการที่บริษัทฯ ต้องเผชิญกับความผันผวนที่สูงของวัฏจักรของธุรกิจ และความเสี่ยงจากการมีฐานการผลิตเพียงแห่งเดียว ความผันผวนของรายได้ค่าการกลั่น ราคาน้ำมัน และความต้องการเงินทุนหมุนเวียน อาจส่งผลกระทบอย่างมากต่อกำไร และกระแสเงินสดของบริษัทฯ
การกำหนดอันดับเครดิตโดยสรุป
Esso มีขนาดธุรกิจโรงกลั่นและธุรกิจปิโตรเคมีที่เล็กกว่า บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) (อันดับเครดิตที่ A(tha)/แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ/F1(tha) ซึ่งมีสถานะทางเครดิตโดยลำพังที่ bbb+(tha)) แต่ Esso มีธุรกิจจำหน่ายน้ำมันแก่ลูกค้ารายย่อยผ่านสถานีบริการน้ำมันของตัวเอง Esso มีอัตราส่วนหนี้สินที่ต่ำกว่า ไออาร์พีซี เล็กน้อย อีกทั้งฟิทช์มองว่า Esso มีความเชื่อมโยงกับบริษัทแม่ซึ่งได้แก่ ExxonMobil ที่สูงกว่า
Esso มีขนาดธุรกิจโรงกลั่นและธุรกิจปิโตรเคมีที่เล็กกว่า บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (อันดับเครดิตที่ AA+(tha)/แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ/F1+(tha) ซึ่งมีสถานะทางเครดิตโดยลำพังที่ aa-(tha)) โรงกลั่นน้ำมันของ Esso มีความคอมเพล็กซ์ (ความสามารถในการผลิตที่เพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ที่สูงของโรงกลั่น) ที่น้อยกว่าและมีขนาดที่เล็กกว่าของ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (อันดับเครดิตที่ AA(tha)/แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ/F1+(tha) ซึ่งมีสถานะทางเครดิตโดยลำพังที่ a+(tha)) นอกจากนี้ Esso ยังมีอัตราส่วนหนี้สินที่สูงกว่าทั้งสองบริษัทอีกด้วย
สมมติฐานที่สำคัญของฟิทช์ที่ใช้ในการประมาณการ:
- ราคาน้ำมันดิบ (เบรนท์) ที่ราคา 65 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2562, 62.5 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2563, 60 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2564 และ 57.5 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลหลังจากนั้น โดยมีการปรับด้วยส่วนต่างราคาน้ำมันตามการซื้อน้ำมันดิบของ Esso
- ค่าการกลั่นลดลงในปี 2562 และฟื้นตัวในปี 2563
- การปิดซ่อมบำรุงรักษาโรงกลั่นในปี 2562
- ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์และวัตถุดิบพาราไซลีนลดลงในปี 2562 และฟื้นตัวเล็กน้อยในปี 2563
- ค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนเพิ่มขึ้นในปี 2562-2564 จากปี 2561
- อัตราการจ่ายเงินปันผลที่ร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิ
ปัจจัยที่อาจมีผลกับอันดับเครดิตในอนาคต
ปัจจัยบวก:
- ความสัมพันธ์และความเชื่อมโยงกับกลุ่มบริษัท ExxonMobil ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ปัจจัยลบ:
- ความสัมพันธ์และความเชื่อมโยงกับกลุ่มบริษัท ExxonMobil ที่ลดลง
- การลดลงของการเข้าถึงแหล่งเงินกู้จากธนาคารและตลาดตราสารหนี้ซึ่งอาจมีผลต่อสภาพคล่องและความยืดหยุ่นทางการเงินของบริษัทฯ
- อัตราส่วนหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อกระแสเงินสดที่ได้จากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงของสินทรัพย์และหนี้สินจากการดำเนินงาน (FFO-adjusted net leverage) อยู่ในระดับที่สูงกว่า 5.5 เท่าอย่างต่อเนื่อง ฟิทช์ปรับลดอัตราส่วนหนี้สินสุทธิดังกล่าวที่อาจมีผลกระทบทางลบต่ออันดับเครดิต เป็น 5.5 เท่าจาก 6.5 เท่า สะท้อนถึงสถานะทางธุรกิจของบริษัทฯ ที่อ่อนแอกว่าสถานะทางธุรกิจของบริษัทในกลุ่มธุรกิจการกลั่นและปิโตรเคมีในประเทศไทยที่ฟิทช์จัดอันดับเครดิตอยู่
สภาพคล่อง
สภาพคล่องที่แข็งแกร่ง: Esso มีหนี้สินทั้งสิ้นจำนวน 1.9 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นเดือนกันยายน 2562 โดยมีหนี้สินประมาณ 1.7 หมื่นล้านบาทที่จะครบกำหนดชำระภายใน 12 เดือนข้างหน้าซึ่งส่วนใหญ่เป็นหนี้สินระยะสั้นที่ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัทฯ สภาพคล่องของบริษัทฯ ได้รับการสนับสนุนจากเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดจำนวนประมาณ 600 ล้านบาท และวงเงินสินเชื่อหมุนเวียนที่ยังไม่ได้เบิกใช้มูลค่าประมาณหกหมื่นล้านบาท จากกลุ่ม ExxonMobil นอกจากนี้ Esso ยังมีความสามารถในการเข้าถึงแหล่งเงินกู้จากธนาคารที่ดี โดยมีวงเงินสินเชื่อหมุนเวียนที่สามารถเพิกถอนได้ ที่ยังไม่ได้เบิกใช้มูลค่าประมาณ สามหมื่นล้านบาท
ประมาณร้อยละ 67 ของหนี้สินทั้งหมดของบริษัทฯ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2562 เป็นเงินกู้ยืมจากภายในกลุ่ม (Inter-company Loans) ประกอบด้วยเงินกู้ยืมระยะสั้นประมาณร้อยละ 96 และเงินกู้ยืมระยะยาวประมาณร้อยละ 4 Esso มีแผนที่จะรักษาสัดส่วนเงินกู้ยืมจากภายในกลุ่ม อยู่ที่ร้อยละ 60-70 ของหนี้สินทั้งหมด ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกับการถือหุ้นของกลุ่มบริษัทแม่