กรุงเทพฯ--27 พ.ย.--ไอทูซี คอมมิวนิเคชั่นส์
กลุ่ม KTIS เผยรายได้สายธุรกิจชีวภาพปี 2562 โตโดดเด่น โดยโรงไฟฟ้า 3 โรง ทำรายได้ขายไฟฟ้าเพิ่ม 28.8% รายได้ขายเอทานอลเพิ่ม 23.3% และธุรกิจเยื่อกระดาษชานอ้อยมีรายได้เพิ่ม 7.6% ปิดงวดบัญชีปี 62 ที่รายได้รวม 16,886.0 ล้านบาท กำไรสุทธิ 740.1 ล้านบาท เพิ่มจากปี 61 ถึง 17.6% ผู้บริหารมั่นใจกลุ่ม KTIS เติบโตได้อย่างยั่งยืน
นายณัฎฐปัญญ์ ศิริวิริยะกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KTIS ผู้นำในอุตสาหกรรมน้ำตาลและอุตสาหกรรมต่อเนื่องครบวงจร เปิดเผยว่า งบการเงินสำหรับรอบบัญชีปี 2562 (ตุลาคม 2561 – กันยายน 2562) บริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้รวม 16,886.0 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 740.1 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 17.6% จากงบการเงินปี 2561 สิ้นสุด 30 กันยายน 2561 (9 เดือน) ซึ่งมีกำไรสุทธิ 629.3 ล้านบาท โดยคณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติให้จ่ายเงินปันผลสำหรับปี 2562 ในอัตราหุ้นละ 0.15 บาท ซึ่งบริษัทฯ จะเสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2563 ใน วันศุกร์ที่ 31 มกราคม 2563 และกำหนดขึ้นเครื่องหมาย XD (วันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล) วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2563 กำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2563
"ปี 2562 นี้สายธุรกิจชีวภาพมีการเติบโตที่ดี โดยโรงไฟฟ้า 3 โรง ซึ่งผลิตและจำหน่ายพลังงานไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงชีวมวลเติบโตโดดเด่นที่สุด มีรายได้ขายไฟฟ้าเพิ่มขึ้นถึง 28.8% ถือว่าสูงกว่าเป้าหมายที่เราคาดไว้ว่าจะเติบโตได้ 20% นอกจากนี้ ธุรกิจผลิตและจำหน่ายเอทานอลก็มีรายได้เพิ่มขึ้น 23.3% และรายได้จากธุรกิจเยื่อกระดาษจากชานอ้อย เพิ่มขึ้น 7.6%" นายณัฎฐปัญญ์ กล่าว
รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม KTIS กล่าวด้วยว่า ในสายธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายมีรายได้ลดลง 14.9% เมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากทั้งปริมาณและราคาขายน้ำตาลและกากน้ำตาลได้ลดลงเป็นไปตามราคาตลาดโลก แต่ในขณะเดียวกันต้นทุนขายและการให้บริการก็ลดลงด้วยตามระบบแบ่งปันผลประโยชน์ อย่างไรก็ตาม สายธุรกิจน้ำตาลของบริษัทฯ จะได้รับเงินชดเชยส่วนของค่าอ้อยและเงินชดเชยค่าผลตอบแทน การผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายจากกองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย เนื่องจากราคาอ้อยขั้นสุดท้ายต่ำกว่าราคาอ้อยขั้นต้นเป็นเงินรายได้ประมาณ 350 ล้านบาท รวมไปถึงการได้รับเงินช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของชาวไร่อ้อยและโรงงานน้ำตาลอีกจำนวน 162.1 ล้านบาท ซึ่งบริษัทฯ ได้รับเงินส่วนต่างราคาขายน้ำตาลจากกองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายเข้ามาแล้ว 225 ล้านบาท แต่ยังบันทึกบัญชีในรูปเจ้าหนี้อยู่ก่อน และจะรับรู้เป็นรายได้เมื่อมีการประกาศราคาอ้อยขั้นสุดท้าย
นายณัฎฐปัญญ์ กล่าวถึงความคืบหน้าของโครงการนครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์ (NBC Project) ซึ่งดำเนินการโดยบริษัท จีจีซี เคทิส ไบโออินดัสเตรียล จำกัด (GKBI) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนของกลุ่ม KTIS กับกลุ่มบริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน) ในอัตราส่วน 50 ต่อ 50 ว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างเร่งก่อสร้างโรงงาน 3 โรงงาน ได้แก่ โรงงานหีบอ้อย กำลังการผลิต 24,000 ตันต่อวัน โรงงานผลิตเอทานอล กำลังการผลิต 600,000 ลิตรต่อวัน และโรงงานผลิตไฟฟ้าและไอน้ำ กำลังการผลิตติดตั้งไฟฟ้า 85 เมกะวัตต์ และไอน้ำ 475 ตันต่อชั่วโมง ซึ่งคาดว่าจะสามารถดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ภายในไตรมาสแรกปี 2564
"จากการขยายธุรกิจทางด้านชีวภาพ และการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ทั้งในไร่อ้อย ในโรงงาน รวมไปถึงในสำนักงานของกลุ่ม KTIS อยู่ตลอดเวลา จึงให้ความมั่นใจกับผู้ลงทุนและผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายได้ว่า กลุ่ม KTIS จะเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน" นายณัฎฐปัญญ์ กล่าว