กรุงเทพฯ--28 พ.ย.--ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป
ดร.แดเรี่ยน แบคเบน ผู้อำนวยการกลุ่มส่งเสริมกิจการองค์กรและความยั่งยืน บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) แนะนำให้บริษัทต่างๆ นำวิธีการสรรหาแรงงานอย่างมีจริยธรรมมาใช้ให้มากขึ้น เพราะเป็นเรื่องสำคัญที่จะจัดการกับแรงงานทาสยุคใหม่
ในการประชุม Issara Global Forum ประจำปี 2562, ดร.แดเรี่ยน ได้กล่าวถึง การนำนโยบายการสรรหาแรงงานอย่างมีจริยธรรมมาปฏิบัติใช้เป็นเรื่องที่ท้าทาย แต่เป็นเรื่องจำเป็นเพื่อลดภาระหนี้ที่อาจนำไปสู่แรงงานทาสยุคใหม่
"ไทยยูเนี่ยนทำงานอยู่ในอุตสาหกรรมที่มีความท้าทายและซับซ้อนมาก แต่เมื่อเราได้ออกนโยบายการสรรหาแรงงานข้ามชาติอย่างมีจริยธรรม เราดำเนินการเพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการให้สภาพแวดล้อมการทำงานซึ่งแรงงานทุกคนของเราที่ได้รับการว่าจ้างมีความปลอดภัยและมีเสรีภาพในการเลือกงาน" ดร.แดเรี่ยน กล่าว "เราพยายามแสดงให้เห็นว่าเรื่องนี้สามารถทำได้ ถ้าคุณมีความตั้งใจและมีความมุ่งมั่น เพราะถ้าคุณไม่ทำอะไร จากนี้ไปแรงงานทาสยุคใหม่จะยังเติบโตและยังคงถูกปกปิดจากการตรวจสอบต่อไป"
แรงงานปลอดภัยและแรงงานที่ถูกกฎหมายเป็นหนึ่งในเสาหลักสำคัญ ภายใต้กลยุทธ์ SeaChange(R) ซึ่งเป็นกลยุทธ์ความยั่งยืนของไทยยูเนี่ยน โดยในปี 2559 ไทยยูเนี่ยนได้ออกนโยบายการสรรหาแรงงานข้ามชาติอย่างมีจริยธรรม ซึ่งประกอบด้วยการยกเลิกค่าธรรมเนียมในการจัดหาแรงงานสำหรับแรงงานทุกคนที่ได้รับการว่าจ้างในโรงงานและโรงงานแปรรูปของบริษัท นโยบายนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อปกป้องแรงงานและลดความเสี่ยงในการแสวงหาผลประโยชน์จากแรงงาน
ในการประเมินอย่างอิสระจาก Impactt บริษัทที่ปรึกษาการค้าอย่างมีจริยธรรม ที่มีการเผยแพร่ไปเมื่อต้นเดือน ระบุว่า นโยบายการสรรหาแรงงานของไทยยูเนี่ยน "ได้ถูกนำมาปฏิบัติและพัฒนาการสรรหาแรงงานข้ามชาติได้อย่างมีนัย"
รายงานฉบับนี้ ได้ถูกเผยแพร่หลังจากใช้ระยะเวลาในการประเมิน 6 เดือนโดยได้รับทุนสนับสนุนจาก Humanity United และ The Freedom Fund โดยในรายงานกล่าวว่า นโยบายการสรรหาแรงงานข้ามชาติอย่างมีจริยธรรมของไทยยูเนี่ยนนับเป็นตัวอย่างให้กับบริษัทอื่นๆ ในการทำงานให้ได้รับผลสำเร็จเช่นกัน
เกี่ยวกับ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)
บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เป็นผู้นำธุรกิจอาหารทะเลของโลก ซึ่ง ส่งมอบผลิตภัณฑ์อาหารทะเลที่มีนวัตกรรม รสชาติดี มีประโยชน์ต่อสุขภาพ และมีคุณภาพสูงให้กับผู้บริโภคทั่วโลกมาเป็นเวลากว่า 40 ปี
วันนี้ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ปลาทูน่าบรรจุภาชนะชนิดต่างๆ ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมียอดขายต่อปีมากกว่า 1.33 แสนล้านบาท (4.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ) และมีพนักงานทั่วโลกรวมกันมากกว่า 47,000 คน ซึ่งล้วนทุ่มเทเพื่อผลิตภัณฑ์อาหารทะเลที่มีนวัตกรรมและมีความยั่งยืน
ไทยยูเนี่ยนเป็นเจ้าของแบรนด์ทั่วโลก ประกอบด้วย แบรนด์ที่เป็นผู้นำตลาดโลกอย่าง Chicken of the Sea, John West, Petit Navire, Parmentier, Mareblu, King Oscar และ Ruegen Fisch รวมทั้งแบรนด์ชั้นนำในประเทศไทย ได้แก่ ซีเล็ค ฟิชโช คิวเฟรช โมโนริ เบลลอตต้า และมาร์โว่
จากพันธกิจในการเป็นบริษัทแห่งนวัตกรรมและดำเนินงานด้วยความรับผิดชอบทั่วโลก ไทยยูเนี่ยนภูมิใจที่ได้เป็นหนึ่งในภาคีข้อตกลงโลกแห่งสหประชาชาติ (United Nations Global Compact) และเป็นผู้ร่วมก่อตั้งมูลนิธิเพื่อความยั่งยืนของอาหารทะเลสากล (International Seafood Sustainability Foundation: ISSF) ในปี 2558 ไทยยูเนี่ยนเปิดตัวกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน SeaChange(R) และดำเนินการในเรื่องดังกล่าวอย่างต่อเนื่องเรื่อยมาโดยตลอด ทำให้ในปี 2561 และ 2562 ไทยยูเนี่ยนได้เป็นผู้นำอันดับ 1 กลุ่มอุตสาหกรรมของโลกใน Food Industry ในดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ และประสบความสำเร็จในการได้รับคะแนนเปอร์เซ็นไทล์สูงสุดที่ 100 ในคะแนนด้านความยั่งยืนทั้งหมด ปัจจุบันไทยยูเนี่ยนได้รับการคัดเลือกให้เป็นสมาชิกของดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ เป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน นอกจากนี้ไทยยูเนี่ยนยังได้รับการคัดเลือกให้ติดอันดับดัชนี FTSE4Good Emerging Index ในปี 2561 อีกด้วย