กรุงเทพฯ--28 พ.ย.--ไทยรับประกันภัยต่อ
THRE กางแผนธุรกิจปี 2563-2565 ปรับโครงสร้างรุกประกันภัยต่อส่วนบุคคล ขยายตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พร้อมนำระบบเทคโนโลยีเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน ต่อยอด "เทิร์นอะราวด์" สู่การเติบโต "Double Digit" ต่อเนื่อง ดัน ROE แตะระดับ 10% CEO ชี้ล่าสุดฟิทช์ประกาศเรทติ้ง "A-" แนวโน้มมีเสถียรภาพ ตอกย้ำฐานะเงินกองทุนที่แข็งแกร่ง เปิดโอกาสมากขึ้นทั้งตลาดภายในประเทศและต่างประเทศ
นายโอฬาร วงศ์สุรพิเชษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยรับประกันภัยต่อ จำกัด (มหาชน) หรือ THRE เปิดเผยแผนธุรกิจปี 2563-2565 ว่า บริษัทฯได้ปรับกลยุทธ์รุกตลาดประกันภัยต่อส่วนบุคคลเพิ่มมากขึ้น ด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์และช่องทางใหม่ๆ ควบคู่ไปกับการขยายตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างเต็มรูปแบบ ทั้งธุรกิจประกันภัยต่อและบริการ ขยายความร่วมมือกับกลุ่มเครือข่าย Fairfax และนำเทคโนโลยีใหม่ๆ อาทิ AI และ Blockchain เข้ามาปรับใช้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน ผลักดันผลประกอบการพลิกเทิร์นอะราวด์ สู่การเติบโต Double Digit ต่อเนื่อง
โดยปี 2563 บริษัทเตรียมออกโครงการใหม่ไม่ต่ำกว่า 30 โครงการ ทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งคาดว่าจะมีเบี้ยประกันภัยต่อรวมที่ 4.2 พันล้านบาท และเบี้ยประกันภัยต่อสุทธิที่ 3.8 พันล้านบาท ซึ่งรวมทั้งสัญญาประกันภัยต่อจากต่างประเทศคิดเป็นมูลค่ารวมราว 100 ล้านบาท นอกจากนี้คาดการณ์ว่าค่าใช้จ่ายในการประกันต่อจะลดลงถึง 130 ล้านบาท จากการลดลงอย่างมากของงานที่มีอัตราความเสียหายสูง
ด้านธุรกิจบริการจะเริ่มให้บริการในต่างประเทศเพิ่มเติมอีก 2 ประเทศ คือ กัมพูชา และ เวียดนาม ซึ่งในส่วนของกัมพูชาบริษัทได้เซ็นต์ MOU ในการจัดตั้งบริษัทเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างรอการอนุมัติจากรัฐบาลกัมพูชา ในส่วนของตลาดเวียดนามอยู่ในขั้นตอนสุดท้ายของการสรุปแผนกับพาร์ทเนอร์ นอกจากนี้บริษัทฯเตรียมนำเทคโนโลยี เช่น AI, Blockchain, มาให้บริการใหม่ๆแก่ตลาดด้วย ซึ่งจากผลประกอบการด้านการรับประกันภัยต่อและ ธุรกิจบริการ คาดว่า อัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) แตะระดับ 5-6% ในปี 2563เพิ่มสูงขึ้นจากปี 2562 ที่คาดว่า จะแตะระดับ 3-4%
ขณะที่ในปี 2564 บริษัทฯตั้งเป้าเบี้ยประกันภัยเติบโตกว่า 12% เทียบจากปี 2563 ด้วยการรุกขยายธุรกิจบริการในต่างประเทศเพิ่มเติมอีก 1 ประเทศ คือ ฟิลิปปินส์ และขยายการบริการเพิ่มในประเทศกัมพูชา ส่วนด้านการประกันภัยต่อ คาดจะมีสัญญาประกันภัยจากต่างประเทศคิดเป็นมูลค่าราว 150 ล้านบาท โดยจะมีการรับรู้รายได้จากประเทศฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย ควบคู่ไปกับการออกโครงการใหม่อีกไม่น้อยกว่า 30 โครงการ และมีค่าใช้จ่ายในการรับประกันภัยต่อลดลง อีกราว 40 ล้านบาท ซึ่งจะหนุน ROE เพิ่มขึ้นแตะระดับ 8%
ปี 2565 บริษัทฯตั้งเป้าผลักดัน ROE ขยับเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องแตะระดับกว่า 10% ไปพร้อมๆกับการเติบโตของเบี้ยประกันภัยกว่า 15% ภายใต้กลยุทธ์การเดินหน้าขยายตลาดต่างประเทศ ตั้งเป้าสัญญาประกันภัยจากต่างประเทศมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 200 ล้านบาท หลังขยายตลาดเข้าไปยังประเทศมาเลเซีย ขณะเดียวกันยังเตรียมแผนขยายธุรกิจบริการในต่างประเทศเพิ่มเติมอีก 1 ประเทศ คือ อินโดนีเซีย และ เพิ่มการบริการในประเทศ เวียดนาม
นายโอฬาร กล่าวเพิ่มเติมว่า ล่าสุดบริษัทฯได้รับการจัดอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินสากล (IFS) จากฟิทช์ เรทติ้งส์ ที่ระดับ A- หรือระดับแข็งแกร่ง แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ สะท้อนถึงโครงสร้างธุรกิจประกันภัยที่แข็งแรง และมีระดับเงินกองทุนที่แข็งแกร่ง ระดับความเสี่ยงทางด้านการลงทุนและสภาพคล่องอยู่ในเกณฑ์ดี ทำให้บริษัทฯมีศักยภาพการแข่งขันที่ดีขึ้นในระยะยาว และเปิดโอกาสสำหรับธุรกิจใหม่ทั้งในและต่างประเทศ