กรุงเทพฯ--29 พ.ย.--ไอทูซี คอมมูนิเคชั่นส์
บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ประสบความสำเร็จในการขายหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุน วงเงิน 4,000 ล้านบาท และหุ้นกู้สำรองเพิ่มเติมอีก 2,000 ล้านบาท รวม 6,000 ล้านบาท หลังนักลงทุนทั่วไปให้ความสนใจจองซื้อเต็มจำนวน เชื่อนักลงทุนมั่นใจในศักยภาพและความแข็งแกร่งของโครงสร้างธุรกิจ รวมถึงพึงพอใจผลตอบแทนในระดับ 5% ต่อปีในช่วง 5 ปีแรก ซึ่งเหมาะสมกับภาวะการลงทุนในขณะนี้ โดยการระดมทุนครั้งนี้เพื่อใช้ในการชำระคืนหุ้นกู้เดิมที่ครบกำหนดในปีนี้ จึงไม่ทำให้เงินกู้ทั้งหมดของบริษัทเพิ่มขี้น และจะทำให้อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุน (ND/E) ของบริษัทฯ ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 1.35-1.40 เท่า ลดลงมาอยู่ในระดับ 1.15-1.20 เท่า
นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า "บริษัทฯ ต้องขอขอบคุณนักลงทุนทั้งนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนทั่วไป ที่ให้การสนับสนุนหุ้นกู้ของบริษัทฯ รวมถึงขอบคุณสถาบันการเงินที่ทำหน้าที่จัดจำหน่าย โดยการระดมทุนในครั้งนี้ จะสร้างความเข้มแข็งให้กับโครงสร้างทางการเงินของบริษัทฯ มากยิ่งขึ้น และไทยยูเนี่ยนฯ ก็จะเดินหน้าขยายธุรกิจตามแผนที่วางไว้ เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับโครงสร้างธุรกิจ เพื่อการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป"
การนำเสนอขายหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนของบริษัทฯ ในระหว่างวันที่ 26-28 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ประสบความสำเร็จอย่างน่าพอใจ โดยปัจจัยที่สนับสนุนการขาย นอกจากจะมาจากความเชื่อมั่นในธุรกิจของบริษัทไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป ซึ่งได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อองค์กรที่ระดับ A+ และความเชื่อถือหุ้นกู้ที่ระดับ A- จากทริสเรทติ้งแล้ว ยังมาจากช่วงเวลาที่เสนอขายยังเป็นช่วงที่อัตราดอกเบี้ยปรับตัวลดลง ทำให้นักลงทุนจำนวนมากมองหาสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนที่ดี โดยมีระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ซึ่งหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนของบริษัทฯสามารถตอบสนองความต้องการของนักลงทุนได้อย่างเหมาะสม
พร้อมกันนี้ บริษัทฯ ยังประสบความสำเร็จจากการออกหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิไม่มีประกันมูลค่า 6,000 ล้านบาทที่เสนอให้แก่นักลงทุนสถาบัน เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยกำหนดผลตอบแทนหุ้นกู้อายุ 7 ปี จำนวน 2,000 ล้านบาท ผลตอบแทน 2.78% ต่อปี และหุ้นกู้อายุ 10 ปี จำนวน 4,000 ล้านบาท ไว้ที่ 3.00% ต่อปี คิดเป็นผลตอบแทนเฉลี่ย 2.93% ต่อปี โดยเป็นหุ้นกู้อายุเฉลี่ยรวม 9 ปี ซึ่งปรากฏว่า มีนักลงทุนสถาบันกว่า 20 แห่งเข้าร่วมทำ Book Building และมีการจองล้นกว่าจำนวนที่เสนอขายถึง 3.5 เท่า
ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลากว่า 40 ปีที่ผ่านมา เป็นบทพิสูจน์ถึงความแข็งแกร่งของไทยยูเนี่ยน ที่สามารถผลักดันให้บริษัทขึ้นสู่การเป็นบริษัทชั้นนำในธุรกิจอาหารทะเลในระดับโลก ด้วยการสร้างผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย และมีแบรนด์ที่เข้มแข็งกว่า 14 แบรนด์ที่ขยายไปทั่วโลก นอกจากนี้ ไทยยูเนี่ยนก็ยังคงเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมด้วยการจัดตั้งศูนย์นวัตกรรมไทยยูเนี่ยน เมื่อปี 2558 เพื่อเป็นศูนย์กลางการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ของบริษัทในเครือทั่วโลกอีกด้วย
ไทยยูเนี่ยน ยังเป็นหนึ่งในบริษัทอาหารทะเลชั้นนำของโลก ที่คว้าอันดับ 1 ดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ในผู้นำกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารของโลกเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน และปัจจุบัน บริษัทฯ ยังได้รับการคัดเลือกเป็นสมาชิกในดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์เป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน สืบเนื่องจากกลยุทธ์ความยั่งยืนของไทยยูเนี่ยน หรือ SeaChange(R) ที่เป็นตัวขับเคลื่อนความยั่งยืนของบริษัททั่วโลก และล่าสุด ไทยยูเนี่ยน ยังประเดิมอันดับ 1 ดัชนี Seafood Stewardship Index จาก 30 บริษัทด้านอาหารทะเลที่ใหญ่ที่สุดทั่วโลก โดยประเมินจากการทำงานที่ตอบโจทย์เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนโดยองค์การสหประชาชาติ (UN) ซึ่งไทยยูเนี่ยนขึ้นเป็นอันดับ 1 ใน 3 ด้าน ได้แก่ การกำกับดูแลกิจการ ระบบนิเวศ และด้านชุมชน
"การลงทุนในหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนนั้น นอกจากนักลงทุนจะพิจารณาผลตอบแทนจากการลงทุนแล้ว นักลงทุนยังต้องเชื่อมั่นในความยั่งยืนของกิจการอีกด้วย ซึ่งการตอบรับที่ดีของนักลงทุนต่อการเสนอขายหุ้นกู้ได้สะท้อนให้เห็นว่า ความทุ่มเทอย่างจริงจังของไทยยูเนี่ยนที่จะสร้างความยั่งยืนในทุกรูปแบบทั้งในปัจจุบันและในอนาคตนั้นเป็นที่รับรู้ได้สำหรับนักลงทุน" นายธีรพงศ์กล่าว
เกี่ยวกับ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)
บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เป็นผู้นำธุรกิจอาหารทะเลของโลก ซึ่ง ส่งมอบผลิตภัณฑ์อาหารทะเลที่มีนวัตกรรม รสชาติดี มีประโยชน์ต่อสุขภาพ และมีคุณภาพสูงให้กับผู้บริโภคทั่วโลกมาเป็นเวลากว่า 40 ปี
วันนี้ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ปลาทูน่าบรรจุภาชนะชนิดต่างๆ ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมียอดขายต่อปีมากกว่า 1.33 แสนล้านบาท (4.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ) และมีพนักงานทั่วโลกรวมกันมากกว่า 47,000 คน ซึ่งล้วนทุ่มเทเพื่อผลิตภัณฑ์อาหารทะเลที่มีนวัตกรรมและมีความยั่งยืน
ไทยยูเนี่ยนเป็นเจ้าของแบรนด์ทั่วโลก ประกอบด้วย แบรนด์ที่เป็นผู้นำตลาดโลกอย่าง Chicken of the Sea, John West, Petit Navire, Parmentier, Mareblu, King Oscar และ Ruegen Fisch รวมทั้งแบรนด์ชั้นนำในประเทศไทย ได้แก่ ซีเล็ค ฟิชโช คิวเฟรช โมโนริ เบลลอตต้า และมาร์โว่
จากพันธกิจในการเป็นบริษัทแห่งนวัตกรรมและดำเนินงานด้วยความรับผิดชอบทั่วโลก ไทยยูเนี่ยนภูมิใจที่ได้เป็นหนึ่งในภาคีข้อตกลงโลกแห่งสหประชาชาติ (United Nations Global Compact) และเป็นผู้ร่วมก่อตั้งมูลนิธิเพื่อความยั่งยืนของอาหารทะเลสากล (International Seafood Sustainability Foundation: ISSF) ในปี 2558 ไทยยูเนี่ยนเปิดตัวกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน SeaChange(R) และดำเนินการในเรื่องดังกล่าวอย่างต่อเนื่องเรื่อยมาโดยตลอด ทำให้ในปี 2561 และ 2562 ไทยยูเนี่ยนได้เป็นผู้นำอันดับ 1 กลุ่มอุตสาหกรรมของโลกใน Food Industry ในดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ และประสบความสำเร็จในการได้รับคะแนนเปอร์เซ็นไทล์สูงสุดที่ 100 ในคะแนนด้านความยั่งยืนทั้งหมด ปัจจุบันไทยยูเนี่ยนได้รับการคัดเลือกให้เป็นสมาชิกของดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ เป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน นอกจากนี้ไทยยูเนี่ยนยังได้รับการคัดเลือกให้ติดอันดับดัชนี FTSE4Good Emerging Index ในปี 2561 อีกด้วย