กรุงเทพฯ--3 ธ.ค.--ไทยเซ็นทรัลเคมี
เมื่อเร็วๆ นี้ ที่ห้องประชุมโรงงานนครหลวง อำเภอนครหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา นายโยชิฮิโระ ทามูระ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ไทยเซ็นทรัลเคมี ผู้ผลิตปุ๋ยเคมี ตราหัววัวคันไถ ได้กล่าวในพิธีเปิดโครงการอบรมเกษตรกร เรื่องปุ๋ยเคมี และธาตุอาหารข้าว ว่า "ในปี 2562 ทางบริษัทฯ มียอดรายได้ลดลง 40% เมื่อเทียบกับรายได้ในปี 2561 ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 10,000 ล้านบาท ทั้งนี้เนื่องจากภาวะภัยแล้งที่ส่งผลกระทบต่อเกษตรกร ประกอบกับสภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศ โดยปริมาณการใช้ปุ๋ยของเกษตรกรไทยในปีหน้าจะยังคงอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับในปี 2562 สำหรับแผนในปีหน้านั้น ทางบริษัทจะมีการปรับเพิ่มสายการผลิตจากที่เคยผลิตแต่ปุ๋ยสำหรับข้าว โดยจะมีเพิ่มการผลิตปุ๋ยสำหรับผลไม้เพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้เนื่องจากเล็งเห็นว่าผลไม้ราคาไม่ตกต่ำลงมากเหมือนกับข้าว ซึ่งในปัจจุบันก็ได้มีการนำร่องผลิตปุ๋ยสำหรับใส่ผลไม้ เช่น ทุเรียน มะม่วง ลำไย ซึ่งได้ ผลตอบรับที่ดีกลับมา ในปีหน้าจึงจะมีการเดินสายการผลิตด้านนี้มากขึ้น"
ด้าน นายกองเอก เปล่งศักดิ์ ประกาศเภสัช ที่ปรึกษาอาวุโส บริษัท ไทยเซ็นทรัลเคมี จำกัด (มหาชน) และนายกสมาคมการค้าปุ๋ยและธุรกิจการเกษตรไทย ซึ่งได้เดินทางมาเป็นประธานในพิธีเปิดโครงการอบรมเกษตรกรฯ ครั้งนี้ ได้กล่าวว่า "เศรษฐกิจภาคการเกษตรของไทยในปี พ.ศ.2563 ยังคงจะต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายในหลายด้านทั้งราคา ปริมาณการเพาะปลูก รวมไปถึงศักยภาพด้านการเกษตร ในส่วนของปัจจัยด้านราคาในพืชเศรษฐกิจหลัก เช่น ข้าว อ้อย ยางพารา ฯลฯ ยังคงอยู่ในระดับต่ำและคาดว่าจะไม่ฟื้นตัวมากนัก ในขณะเดียวกัน ด้านปริมาณการเพาะปลูกจะได้รับผลกระทบจากภาวะภัยแล้งที่จะยังเป็นปัญหาอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงต้นปี พ.ศ. 2563 พื้นที่เพาะปลูกข้าวนาปรังคาดว่าจะลดลงเนื่องจากปริมาณน้ำในระบบชลประทานมีไม่เพียงพอ ปัญหาดังกล่าวเกี่ยวโยงไปถึงปัจจัยของตัวเกษตรกรเองที่มีปัญหาด้านหนี้สินและลดต้นทุนด้านปัจจัยการผลิตทำให้อาจส่งกระทบต่อผลิตภาพโดยรวมของการเกษตรได้ อย่างไรก็ตามคาดว่าภาคการเกษตรไทยจะไม่ได้รับผลกระทบจากความเสี่ยงที่เกิดขึ้นกับเศรษฐกิจในระดับมหภาคและในระดับโลกมากนักในปีหน้า ปี 2563 หากเทียบกับในภาคการผลิตและภาคการบริการ เนื่องจากสินค้าเกษตรเป็นสินค้าที่มีความสำคัญในการรักษาความมั่นคงด้านอาหารของทุกๆประเทศ อีกทั้งคาดว่ามีความเป็นไปได้สูงที่รัฐบาลจะออกมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร เช่น การประกันรายได้ การพักหนี้เกษตรกร นำมาใช้อย่างต่อเนื่องในปี พ.ศ. 2563
ปริมาณความต้องการปุ๋ยเคมีของไทยในปี พ.ศ. 2563 จะขึ้นอยู่กับปัจจัยด้านราคาสินค้าเกษตรและจำนวนพื้นที่เพาะปลูกเป็นหลัก แม้ว่าราคาวัตถุดิบและค่าเงินบาทจะมีแนวโน้มผันผวนส่งผลให้ราคาปุ๋ยเคมีในประเทศมีความผันผวนตามไปด้วย แต่ราคาปุ๋ยเคมีไม่ใช่เป็นปัจจัยที่สำคัญในการตัดสินใจซื้อปุ๋ยเคมีของเกษตรกรจึงทำให้ไม่กระทบต่อปริมาณความต้องการใช้ปุ๋ยเคมีมากนัก ดังนั้นจากสถานการณ์ด้านเกษตรตามที่กล่าวมาในข้างต้น จึงคาดการณ์ว่าปริมาณการใช้ปุ๋ยในปีหน้าจะยังคงอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับในปี 2562"
นายสมรักษ์ ลิขิตเจริญพันธ์ เจ้าหน้าที่บริหารและผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ด้านการผลิต/ผู้จัดการโรงงาน ได้กล่าวถึงการผลิตปุ๋ยเคมี และการควบคุมคุณภาพของผลิตภัณฑ์ปุ๋ยตราหัววัวคันไถว่า "ปัจจุบันบริษัทฯ สามารถผลิตปุ๋ยเคมีชนิดเม็ดภายใต้เครื่องหมายการค้า ตราหัววัวคันไถ, ตราทีซีซีซี, ตราสิงห์ และตราเด็กน้อย ที่มีคุณภาพได้มาตรฐานทัดเทียมกับปุ๋ยที่นำเข้าจากต่างประเทศ โดยบรรจุกระสอบละ 50 กก. ซึ่งประกอบด้วยธาตุอาหารหลักคือไนโตรเจน, ฟอสฟอรัส, โพแทสเซียม และธาตุอาหารรอง เช่น แมกนีเซียม, กำมะถัน เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีธาตุอาหารเสริม เช่น โบรอน อีกด้วย ซึ่งจะทำให้พืชเจริญงอกงามมีผลผลิตดี ได้ปริมาณและคุณคุณภาพสูง นอกจากนี้ปุ๋ยตราหัววัวคันไถ ที่บริษัทฯได้ผลิตขึ้นมานั้นก็มีคุณภาพตามที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และยังเป็นที่แพร่หลายในพื้นที่เกษตรกรรมทั่วประเทศ อีกทั้งในปัจจุบันบริษัทฯ มีโรงงานขนาดใหญ่ที่ทันสมัยและได้มาตรฐาน 2 แห่ง รวมกำลังการผลิตทั้งสิ้นปีละ 1.2 ล้านเมตริกตัน แบ่งเป็น 1)โรงงานพระประแดง จ.สมุทรปราการ มีกำลังการผลิต 850,000 เมตริกตัน มีคลังเก็บสินค้าได้ 100,000 เมตริกตัน ขนาดท่าเรือยาว 310 เมตร หน้าท่าลึก 8.4 เมตร กำลังการขนถ่ายวัตถุดิบต่อวัน 6,000 เมตริกตัน และ 2)โรงงานนครหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา มีกำลังการผลิต 350,000 เมตริกตัน มีคลังเก็บสินค้าได้ 90,000 เมตริกตัน ขนาดท่าเรือยาว 189 เมตร หน้าท่าลึก 5 เมตร กำลังการขนถ่ายวัตถุดิบต่อวัน 4,000 เมตริกตัน"
สำหรับ บมจ.ไทยเซ็นทรัลเคมี ผู้ผลิตปุ๋ยเคมี ตราหัววัวคันไถ ปัจจุบันเป็นผู้ผลิตปุ๋ยเคมีที่ใหญ่ติดอันดับ 1 หรือ 2 ของประเทศ มีการผลิตสินค้าที่ได้มาตรฐานตามหลักสากล ในปุ๋ยแต่ละเม็ดจะมีค่าธาตุอาหารตามที่ระบุไว้ในแต่ละสูตร ผ่านการตรวจสอบอย่างเข้มงวดด้วยห้อง Lab ที่ทันสมัยและได้มาตรฐาน, มีการอบรมให้ความเกษตรกรในเรื่องการใช้ปุ๋ยเคมีอย่างถูกสูตร ถูกที่ ถูกวิธี และถูกเวลา นอกจากนี้ยังได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยหลายแห่งเพื่อทำการวิจัยและพัฒนาหาแนวทาง ในการทำการเกษตรที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยผู้สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทรศัพท์ 02-6398888 ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป