กรุงเทพฯ--6 ธ.ค.--ซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี คอร์เปอเรชั่น
SUPER ปลื้ม! ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรระดับน่าลงทุนที่ "BBB-" พร้อมปรับมุมมองแนวโน้มขึ้นเป็น" positive "จาก Stable ตอกย้ำฐานะการเงินแข็งแกร่ง ความสามารถทำกำไรดี มีแหล่งเงินทุน หนุนสภาพคล่อง รองรับแผนขยายธุรกิจในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ฟาก "จอมทรัพย์ โลจายะ" มั่นใจในศักยภาพและพร้อมที่ก้าวขึ้นไปสู่บริษัทชั้นนำในธุรกิจด้านพลังงานทดแทนในอนาคตได้อย่างแน่นอน
นายจอมทรัพย์ โลจายะ ประธานคณะกรรมการ บริษัท ซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SUPER เปิดเผยว่า บริษัททริสเรทติ้ง ได้จัดอันดับเครดิตองค์กรของ SUPER ในระดับน่าลงทุน ( Investment Grade) ที่ระดับ "BBB -" พร้อมปรับเพิ่มแนวโน้มเป็น "positive" หรือ "บวก"จากเดิมอยู่ที่ Stable เพื่อสะท้อนถึงการที่บริษัทฯประสบความสำเร็จจากการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดใหญ่ในประเทศเวียดนาม ซึ่งเป็นการลงทุนในต่างประเทศครั้งแรกของบริษัท
ขณะที่แนวโน้มผลการดำเนินงานอยู่ในทิศทางที่น่าพอใจ เนื่องจากมีแหล่งเงินทุนที่เพียงพอ โดยคาดว่าฐานเงินทุนของบริษัทจะสามารถผลักดันให้การเติบโตให้คงอยู่ในระดับแข็งแกร่งต่อไปได้อีก 3 ปีข้างหน้า โดยเฉพาะการจัดตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้า ซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี(SUPEREIF) ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับฐานะการเงินได้เป็นอย่างดี
ทั้งนี้ การพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 4 แห่งแรกของบริษัทฯในประเทศเวียดนามนั้น ได้เริ่มดำเนินงานในเดือนมิถุนายน 2562 ด้วยกำลังกำรผลิตรวม 186.72 เมกะวัตต์ ส่วนโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่เหลือ อีก 50 เมกะวัตต์ คาดว่าจะเริ่มได้ภายในช่วงปลายปี 2562
นอกจากนี้ ทริสเรทติ้ง ประเมินว่า SUPER มีโอกาสจะเติบโตต่อเนื่อง จากแผนการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในเวียดนามอีกอย่างน้อย 422 เมกะวัตต์ ซึ่งจะเริ่มดำเนินงานตั้งแต่ในปี 2564เป็นต้นไป อย่างไรก็ตาม SUPERได้ตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มกำลังการผลิตของโรงไฟฟ้าพลังงานขยะอีก 23 เมกะวัตต์ จากโครงการใหม่ จำนวน 3 แห่ง รวมทั้งยังขยายธุรกิจใหม่ด้วยการเข้าซื้อหุ้นของบริษัท ซุปเปอร์ วอเตอร์ จำกัด ซึ่งถือสัมปทานการจำหน่ายน้ำดิบ และน้ำประปาอีกด้วย
ทริสเรทติ้ง ประเมินว่าในอีก 3 ปีข้างหน้า กำลังการผลิตรวมตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าที่ดำเนินงานแล้วของSUPERจะเพิ่มขึ้นเป็น 1,400 เมกะวัตต์ โดยมีรายได้จากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นเป็น 8.7 พันล้านบาทในปี 2565 จาก 6.2 พันล้านบาทในปี 2562 ขณะที่กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย และภาษี น่าจะเพิ่มขึ้นสูงกว่า 6 พันล้านบาทได้ภายในปี 2565