กรุงเทพฯ--6 ธ.ค.--ฟิทช์ เรทติ้งส์
บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศให้อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ 'AA+(tha)' แก่หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิไม่มีหลักประกันที่จะออกโดย บริษัท อีซี่บาย จำกัด (มหาชน) (EB; 'AA+(tha)'/แนวโน้มอันดับเครดิตเป็นลบ) โดยหุ้นกู้ดังกล่าวจะมีอายุไม่เกิน 4 ปี
ปัจจัยสนับสนุนอันดับเครดิต
อันดับเครดิตของหุ้นกู้อยู่ในระดับเดียวกันกับอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของ EB เนื่องจากหุ้นกู้ดังกล่าวเป็นภาระผูกพันที่ไม่ด้อยสิทธิและไม่มีหลักประกันของบริษัท
อันดับเครดิตของ EB มีปัจจัยสนับสนุนมาจากการที่ฟิทช์คาดว่า EB น่าจะได้รับการสนับสนุนพิเศษที่นอกเหนือจากการดำเนินงานตามปรกติ (extraordinary support) จาก บริษัทแม่ ซึ่งคือ ACOM CO., LTD. (ACOM; A-/แนวโน้มอันดับเครดิตเป็นลบ) จากประเทศญี่ปุ่นและมีสัดส่วนการถือหุ้นที่ 71% ในบริษัท นอกจากนี้ที่ผ่าน EB ยังได้รับการสนับสนุนทั้งในด้านการดำเนินงานและด้านการเงินจากบริษัทแม่มาอย่างสม่ำเสมอ EB มีการผลการดำเนินงานที่ผ่านมาอยู่ในเกณฑ์ที่ดีและบริษัทยังมีบทบาทที่สำคัญต่อกลยุทธ์ในระดับภูมิภาคของกลุ่มบริษัทแม่
ปัจจัยที่อาจมีผลต่ออันดับเครดิตในอนาคต
การเปลี่ยนแปลงของอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของ EB จะส่งผลกระทบไปในทิศทางเดียวกันต่ออันดับเครดิตของหุ้นกู้
การเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างเครดิต (credit profile) ของ ACOM น่าจะส่งผลกระทบในทิศทางเดียวกันกับอันดับเครดิตของ EB "แนวโน้มอันดับเครดิตเป็นลบ" ของอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของ EB พิจารณาจากแนวโน้มอันดับเครดิตเป็นลบของ ACOM ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มอันดับอันดับเครดิตของ Mitsubishi UFJ Financial Group, Inc. (A/แนวโน้มอันดับเครดิตเป็นลบ) (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก "Fitch Revises MUFG's Outlook to Negative; Affirms Ratings" วันที่ 23 ตุลาคม 2562)
อันดับเครดิตของ EB อาจได้รับผลกระทบหากฟิทช์เชื่อว่าโอกาสที่บริษัทแม่จะให้การสนับสนุนแก่ EB นั้นมีการเปลี่ยนแปลง ตัวอย่างเช่น ฟิทช์อาจทำการปรับเพิ่มอันดับเครดิตของ EB หากบริษัทมีความสามารถที่จะช่วยสนับสนุนผลการดำเนินงานของบริษัทแม่สูงขึ้นและมีบทบาทที่สำคัญต่อบริษัทแม่เพิ่มขึ้นจนสามารถมีสถานะเป็นบริษัทลูกที่มีความสำคัญมากของ ACOM (core subsidiary) ในทางกลับกันฟิทช์อาจทำการปรับลดอันดับเครดิตของ EB หากบริษัทแม่ลดสัดส่วนการถือหุ้นลงอย่างมีนัยสำคัญหรือมีระดับการให้การสนับสนุนหรือความเชื่อมโยงกับบริษัทลูกที่ลดลง อย่างไรก็ตามฟิทช์มองว่าเหตุการณ์ดังกล่าวไม่น่าจะเกิดขึ้นในระยะปานกลาง