กรุงเทพฯ--6 ธ.ค.--ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป
บล.ทิสโก้ชี้เงิน LTF และ RMF อาจเข้าซื้อหุ้นไทยน้อยกว่าคาด หลังปัจจัยลบรุมเร้า แนะอาศัยจังหวะหุ้นไทยย่อตัวทยอยซื้อหุ้นปันผลเด่นเข้าพอร์ต กางสถิติในช่วงเดือนม.ค.-เม.ย. ของทุกปี หุ้นปันผลให้ผลตอบแทนดีกว่าตลาดประมาณ 4%
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด (Mr. Apichat Poobunjirdkul, Senior Strategist, TISCO Securities Co., Ltd) เปิดเผยว่า ในช่วงเดือนธันวาคม 2562 ประเมินว่าเม็ดเงินจากกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) จะไหลเข้าซื้อหุ้นไทยน้อยกว่าที่คาด หลังภาวะเศรษฐกิจยังส่งสัญญาณอ่อนแอต่อเนื่อง ส่งผลให้นักลงทุนระมัดระวังการใช้จ่าย รวมถึงระมัดระวังเรื่องการลงทุนมากขึ้น ประกอบกับรูปแบบการออกกองทุนรวมใหม่ที่จะมาทดแทน LTF มีความล่าช้า อาจส่งผลกระทบต่อเม็ดเงินไหลเข้าในปีนี้
ทั้งนี้ จากปัจจัยดังกล่าวคาดว่าจะมีเงิน LTF เข้าซื้อหุ้นไทยประมาณ 2 หมื่นล้านบาท ลดลงจากเดิมที่คาดว่าจะมีเงินเข้าซื้อที่ 2.5 หมื่นล้านบาท ขณะที่ RMF คาดว่าจะมีเงินไหลเข้าเพียง 1 หมื่นล้านบาท จากเดิมที่คาดว่าจะมีเงินไหลเข้าประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาท
อย่างไรก็ตาม แม้บรรยากาศการลงทุนโดยรวมจะยังคงย่ำแย่อยู่ แต่บล.ทิสโก้มองว่าในช่วงที่หุ้นไทยย่อตัวนี้ เป็นจังหวะที่ดีในการทยอยเข้าซื้อหุ้นปันผล เพราะจากการศึกษาความเคลื่อนไหวหุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผลสูง โดยใช้ดัชนี SETHD TRI (ย่อมาจาก SET High Dividend Total Return Index) ซึ่งเป็นตัวแทนหุ้นพื้นฐานดีที่มีการจ่ายเงินปันผลสูง 30 ตัวแรกของตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่รวมผลตอบแทนจากการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นและเงินปันผลแล้ว เปรียบเทียบกับความเคลื่อนไหวของตลาดโดยรวม (SET TRI) พบว่า ในช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนเมษายนของทุกปี หุ้นปันผลมักจะให้ผลตอบแทนรวมดีกว่าตลาดประมาณ 4%
"ผลตอบแทนจากเงินปันผลถือว่าเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของตลาดหุ้นไทย โดยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผลตอบแทนจากเงินปันผลของตลาดหุ้นไทยนอกจากจะชนะอัตราเงินเฟ้อแล้ว ยังให้ผลตอบแทนดีกว่าอัตราดอกเบี้ยด้วย ซึ่งปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยทั้งในประเทศ และต่างประเทศก็อยู่ในระดับต่ำมาก โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีของไทย และสหรัฐฯ อยู่ที่ประมาณ 1.7% และ 1.8% ตามลำดับ นอกจากนี้ หากเปรียบเทียบผลตอบแทนเงินปันผลของตลาดหุ้นไทยกับตลาดหุ้นต่างประเทศ พบว่าอัตราผลตอบแทนเงินปันผลของหุ้นไทยอยู่ในระดับกลางถึงค่อนข้างสูง โดยตลาดหุ้นไทยคาดว่าจะให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลประมาณ 3.1% ขณะที่ตลาดหุ้นต่างประเทศมักจะมีผลตอบแทนจากเงินปันผลโดยเฉลี่ยราว 2.8%" นายอภิชาติกล่าว
สำหรับหุ้นปันผลเด่นแนะนำของปี 2563 เรียงลำดับตามผลตอบแทนที่คาดว่าบริษัทเหล่านี้จะจ่ายเงินปันผลปี 2563 จากมากไปหาน้อย ได้แก่ KKP, TVO, AP, QH, MAJOR, SCB, SCC และ BBL ซึ่งหุ้นแต่ละตัวที่บล.ทิสโก้คัดเลือกมานั้น นอกจากจะพิจารณาจากหุ้นที่มีประวัติการจ่ายเงินปันผลดีอย่างสม่ำเสมอแล้ว ยังพิจารณาในแง่ของโอกาสที่ราคาหุ้นแต่ละตัวจะปรับเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันด้วย เพื่อให้นักลงทุนมีโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีทั้งในแง่ของเงินปันผล และส่วนต่างราคาหุ้น
ส่วนหุ้นแนะนำในเดือนธันวาคมจะเน้นเลือกหุ้นขนาดใหญ่ (Selective Buy) ที่มีประเด็นการลงทุนเด่นอย่างชัดเจน ได้แก่ หุ้นขนาดใหญ่ที่มีสภาพคล่องซื้อขายสูงที่น่าจะเป็นเป้าหมายการลงทุนของเม็ดเงิน LTF & RMF แนะนำ CPALL, MINT, SCB และ SCC หุ้นปันผลที่อยู่ใน SETHD Index ที่มักปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าตลาดในช่วง 3-4 เดือนข้างหน้า แนะนำ AP, KKP, SCB และ SCC และ หุ้นที่คาดว่าจะเข้า SET50 Index แนะนำ VGI โดยสรุป หุ้นที่บล.ทิสโก้แนะนำในเดือน ธันวาคม 2562 คือ AP, CPALL, KKP, MINT, SCB, SCC และ VGI