กรุงเทพฯ--9 ธ.ค.--เจซีแอนด์โค พับลิครีเลชั่นส์
แคนนอน ประกาศความคืบหน้าการพัฒนากล้อง Canon EOS-1D X Mark III ไลน์อัพล่าสุดในตระกูล CanonEOS-1 series ที่มีชื่อเสียงในวงการช่างภาพกีฬา และสายถ่ายภาพพอร์เทรตมืออาชีพ โดย Canon EOS 1D X Mark III รุ่นใหม่ล่าสุดนี้ จะจัดเต็มเรื่องคุณภาพของการถ่ายภาพให้ยอดเยี่ยม มีประสิทธิภาพการถ่ายภาพต่อเนื่องอันทรงพลัง และการใช้งานที่เหนือระดับเพิ่มขึ้นกว่า รุ่น EOS-1D X Mark IIที่ออกสู่ตลาดเมื่อกลางปี 2559
กล้องเรือธงในตระกูล Canon EOS-1 series เริ่มพัฒนาขึ้นตั้งแต่ปี 2532 ซึ่งปีนี้ถือเป็นการครบรอบ 30 ปีที่กล้อง Canon EOS-1 รุ่นแรกถูกพัฒนาขึ้น โดยแนวคิดดั้งเดิมของระบบ EOS คือให้ระบบอัตโนมัติช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของช่างภาพมืออาชีพที่ใช้งานกล้องในตระกูลEOS-1 จัดเต็มด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยฟังก์ชันการใช้งานที่เหนือระดับ ความทนทาน แข็งแรง และความเชื่อถือได้ โดยในปี 2544 แคนนอนได้เปิดตัวกล้องดิจิทัลเรือธงตัวแรก Canon EOS-1D นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาแคนนอนก็ไม่หยุดยั้งที่จะพัฒนากล้องใหม่ๆ ออกมา โดยมุ่งมั่นที่จะพัฒนาต่อยอดเพื่อเพิ่มคุณภาพให้กับภาพถ่ายรวมถึงความสามารถในการถ่ายภาพต่อเนื่องความเร็วสูง พร้อมฟังก์ชันที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีขั้นสูงของแคนนอน สร้างชื่อเสียงจนกลายเป็นกล้องแนวหน้าในกลุ่มช่างภาพหลากหลายสายงาน อาทิ ช่างภาพข่าว สื่อสารมวลชน กีฬา เชิงพาณิชย์ และช่างภาพธรรมชาติ และด้วยประสบการณ์การทำงานร่วมกับช่างภาพมืออาชีพ ทั้งในงานแข่งกันกีฬาใหญ่ๆ มากมายในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา และการรับฟังความคิดเห็นจากผู้ใช้งานเพื่อนำมาพัฒนาเป็นนวัตกรรมอุปกรณ์แห่งการถ่ายภาพที่ล้ำสมัยที่ตอบโจทย์ตรงใจนักถ่ายภาพทุกแขนง
โดยล่าสุด แคนนอนมีแผนการพัฒนากล้องรุ่นใหม่ Canon EOS-1D X Mark III ที่คุณสมบัติโดดเด่นมากมาย ดังต่อไปนี้
1. เซ็นเซอร์ CMOS และระบบประมวลผลภาพแบบใหม่ เพิ่มคุณภาพให้กับภาพถ่าย และเพิ่มความเร็วในการถ่ายภาพต่อเนื่องให้สูงยิ่งขึ้น
I. เซ็นเซอร์ CMOS และระบบประมวลผลภาพลิขสิทธิ์เฉพาะของแคนนอนที่กำลังพัฒนาอยู่นี้ จะมีความไวในการถ่ายภาพนิ่งมากขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นก่อน อีกทั้งสามารถถ่ายภาพนิ่งด้วยไฟล์ 10-bit HEIF[1] นอกจากนี้กล้องจะสามารถบันทึกวิดีโอ 4K ลงบนเมมโมรี่การ์ด ที่ 60p ให้คุณภาพสี YCbCr 4:2:2 ที่10-bit โดยเลือกใช้ได้ทั้ง Canon Log และวิดีโอ RAW format รองรับการโฟกัสอัตโนมัติแบบติดตาม (AF)และการติดตามแสงอัตโนมัติ (AE) ไม่ว่าจะถ่ายภาพด้วยช่องมองภาพออปติคอล (OVF) หรือ Live View อีกทั้งเพิ่มความเร็วในการถ่ายภาพต่อเนื่องเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า โดยในโหมด AF
II. Tracking และ AE Tracking จะยังสามารถถ่ายภาพต่อเนื่องได้ที่ 16 ภาพต่อวินาที เมื่อใช้ OVF หรือ 20 ภาพต่อวินาทีเมื่อใช้ Live View ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อถ่ายภาพด้วย Live View ช่างภาพจะสามารถเลือกถ่ายภาพโดยใช้ชัตเตอร์แบบกลไก หรือชัตเตอร์แบบอิเล็กทรอนิกส์ได้อีกด้วย
III. ได้ภาพถ่ายสูงสุดเพิ่มขึ้นอีก 5 เท่า เมื่อถ่ายภาพต่อเนื่องด้วยไฟล์ RAW เมื่อเทียบกับรุ่นก่อน
2. โฟกัสอัตโนมัติแม่นยำขึ้น ด้วยเซ็นเซอร์ AF และอัลกอริธึม AF พัฒนาใหม่ล่าสุด
I. เซ็นเซอร์ AF แบบใหม่ จะถูกนำมาใช้ในกล้องรุ่นนี้ ซึ่งจะทำให้จำนวนพิกเซลทำงานในพื้นที่ตรงกลางของพิกเซลเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 28 เท่าเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนนอกจากนี้สัญญาณความละเอียดสูงที่ได้จากเซ็นเซอร์ AF จะช่วยให้การโฟกัสเมื่อถ่ายภาพผ่าน OVF มีความแม่นยำสูง นอกจากนี้ยังสามารถใช้การขยายช่วงความสว่างของ AF ได้ทั้งในการถ่ายภาพผ่าน OVF และการแบบ Live View
II. ด้วยอัลกอริธึม AF โฉมใหม่ที่มีความเสถียรยิ่งขึ้น จะทำให้สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีแบบระบบเรียนรู้เชิงลึก (Deep learning) ของปัญญาประดิษฐ์ มาช่วยพัฒนาความสามารถในการโฟกัสติดตามวัตถุให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทั้งในการถ่ายภาพผ่าน OVFหรือ Live View
III. เมื่อถ่ายภาพในโหมด Live View เซ็นเซอร์ AF จะทำงานครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 100% ในแนวตั้ง และประมาณ 90% ในแนวนอน นอกจากนี้ยังจุด AF ยังทำงานถึง 525 จุด เมื่อใช้การเลือกแบบอัตโนมัติ
3. เพิ่มความสามารถในการถ่ายโอนข้อมูล ตอบโจทย์ความต้องการของมืออาชีพ
I. เมื่อใช้งานกล้อง Canon EOS-1D X Mark III ร่วมกับอุปกรณ์ส่งไฟล์ไร้สาย WFT-E9 ที่กำลังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนา (อยู่ในระหว่างรออนุมัติตามกฎหมาย) จะสามารถถ่ายโอนข้อมูลได้เร็วขึ้นกว่าอุปกรณ์ส่งไฟล์ไร้สายรุ่นก่อนหน้า (WFT-E8) ถึงสองเท่า[2] และนอกจากนี้ WFT-E9 ยังสามารถใช้กับกล้องถ่ายภาพยนตร์ Canon EOS C500 Mark II ซึ่งเตรียมวางจำหน่ายในเดือนธันวาคม 2562 ได้อีกด้วย
II. WFT-E9 สามารถเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน และอุปกรณ์มือถืออื่นๆ ผ่าน Wi-Fi และBluetooth(R)[3] อีกทั้งยังสามารถบันทึกข้อมูล GPSที่ตำแหน่งของการถ่ายภาพได้อีกด้วย
III. เมื่อเชื่อมต่อ WFT-E9 เข้ากับ LAN ด้วยสาย จะสามารถส่งข้อมูลภาพได้เร็วกว่ารุ่นก่อนหน้าเป็นสองเท่า
IV. พัฒนารูปแบบการใช้งานในส่วนของการเชื่อมต่อแบบใหม่
V. เพิ่มฟังก์ชันให้สามารถเชื่อมต่อไปยังอุปกรณ์ต่างๆ ได้หลากหลายขึ้น รวมถึงสามารถใช้งานร่วมกับรีโมทคอนโทรลระบบ Pan-Tilt (ที่อยู่ในระหว่างการพัฒนา) เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในการควบคุมกล้องจากระยะไกล
4. ออกแบบมาเพื่อให้ช่างภาพมืออาชีพชั้นแนวหน้าไว้วางใจ
I. ตัวกล้องแข็งแรงทนทาน ด้วยโครงสร้างที่ทำจากแมกนีเซียมอัลลอยด์
II. ปุ่มด้านหลังพร้อมไฟ Back-lit ช่วยในการใช้งานในที่มืด
III. เปลี่ยนการ์ดหน่วยความจำ จาก CFast 2.0 มาใช้ CFexpress ทำให้สามารถเขียนข้อมูลได้เร็วขึ้น โดยมาพร้อมกับช่องเสียบการ์ดหน่วยความจำ 2 ช่อง
IV. ปุ่ม AF Start มาพร้อมกับคุณสมบัติใหม่ ช่วยให้สามารถเปิดใช้งานการตั้งค่าการติดตาม AF ได้อย่างรวดเร็ว โดยผู้ใช้ไม่ต้องเสียจังหวะปล่อยนิ้ว
V. ใช้แบตเตอรี่ LP-E19 แต่สามารถถ่ายภาพได้มากขึ้น ด้วยการออกแบบระบบการใช้พลังงานแบบใหม่ของกล้องรุ่นนี้
ติดตามความเคลื่อนไหว และดูรายละเอียดข้อมูลผลิตภัณฑ์แคนนอนรุ่นต่างๆ ได้ที่เว็บไซต์ https://th.canon และfacebook.com/canon.thailand