กรุงเทพฯ--17 ธ.ค.--ไอทูซี คอมมิวนิเคชั่นส์
ซาบีน่าประกาศเดินหน้ารักษาฐานตลาดต่างประเทศ ทั้งส่งออก (Export) สินค้าแบรนด์ "ซาบีน่า" และรับผลิต (OEM) ให้กับลูกค้าในยุโรปอย่างต่อเนื่อง แม้ค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่า ระบุได้ประโยชน์จากคู่ค้าต่างประเทศ ทั้งฐานลูกค้าที่กว้างขึ้นโดยเฉพาะการสร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์ในประเทศกลุ่ม CLMV ขณะเดียวกัน ยังรู้ลึกถึงไลฟ์สไตล์และแนวโน้มความต้องการสินค้าแฟชั่นของลูกค้า ซึ่งจำเป็นสำหรับอุตสาหกรรมที่ต้องเกาะติดเทรนด์ และยังช่วยบาลานซ์รายได้ในช่วงบาทอ่อนค่า สร้างความยืดหยุ่นให้กับโครงสร้างรายได้ เล็งเพิ่มเป้าหมายสัดส่วนรายได้ส่งออกไว้ที่ 5% ของยอดขายรวม จากเดิม3% ขณะที่สัดส่วนรายได้ ช่องทาง OEM อยู่ที่ 8% ย้ำขึ้นค่าแรงขั้นต่ำไม่กระทบต้นทุน
นายบุญชัย ปัณฑุรอัมพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซาบีน่า จำกัด (มหาชน) หรือ SABINA ผู้ผลิตและจำหน่ายชุดชั้นในแบรนด์ "ซาบีน่า" เปิดเผยว่า แม้ว่าอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ จะมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น แต่บริษัทฯ ยังคงเดินหน้ารักษาฐานลูกค้าต่างประเทศ ผ่านช่องทางจำหน่าย 2 ช่องทางหลักที่สำคัญต่อไป ได้แก่ ช่องทางการส่งออก (Export) แบรนด์ซาบีน่าในกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา, ลาว, เมียนมา และเวียดนาม) และช่องทางรับผลิต (OEM) ให้กับลูกค้าในประเทศแถบยุโรป โดยวางเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนรายได้การส่งออกจาก 3% ของยอดขายรวม เป็น 5% ขณะที่สัดส่วนรายได้ OEM จะยังคงอยู่ที่ 8%เท่าเดิม
"การทำตลาดในต่างประเทศผ่าน 2 ช่องทางดังกล่าว บริษัทฯ ไม่ได้ใช้นโยบายเชิงรุกโดยเฉพาะในส่วนของ OEM แต่จะใช้วิธีรักษาฐานลูกค้าและรักษาตลาดไว้ แม้ว่าเราจะได้รับผลกระทบในแง่ของรายได้ที่ลดลงเมื่อเงินบาทแข็งค่าขึ้น แต่ก็เป็นผลกระทบที่ไม่มาก เพราะสัดส่วนรายได้จาก 2 ช่องทางนี้ไม่ได้สูงเมื่อเทียบกับอีก 2 ช่องทางหลัก คือ การขายผ่านช่องทางรีเทล ผ่านเคาน์เตอร์และซาบีน่า ช้อป และการขายผ่านช่องทางออนไลน์ ขณะเดียวกัน การรักษาฐานลูกค้าในต่างประเทศยังเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทฯ ในแง่ของการขยายฐานลูกค้าได้กว้างขึ้น โดยเฉพาะการส่งออกในกลุ่มประเทศ CLMV ที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในระดับสูง ส่วนการรับผลิตหรือ OEM ทำให้เรารู้ไลฟ์สไตล์และความต้องการของลูกค้าในยุโรปซึ่งเป็นศูนย์กลางแฟชั่นโลก ทำให้เราสามารถอัพเดทเทรนด์ใหม่ได้ตลอดเวลา ซึ่งเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับอุตสาหกรรมแฟชั่น นอกจากนี้ ตลาดต่างประเทศยังช่วยบาลานซ์โครงสร้างรายได้ให้กับบริษัทฯ ในช่วงที่ค่าเงินบาทอ่อนค่าได้อีกทางหนึ่งด้วย" นายบุญชัยกล่าว
ทั้งนี้ ในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ รายได้จากช่องทางส่งออกสินค้าแบรนด์ซาบีน่าเติบโต 102% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งปัจจัยหลักมาจากยอดขายในประเทศเวียดนาม ที่อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจเติบโตถึง 7.1% ขณะที่รายได้จากช่องทาง OEM ลดลง 5.7% จากปัญหาการถอนตัวออกจากสหภาพยุโรปของอังกฤษ หรือเบร็กซิท (BREXIT) ทำให้ลูกค้าในประเทศอังกฤษซึ่งมีสัดส่วน 70% ของลูกค้า OEM ชะลอการสั่งซื้อในช่วงเวลาดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ คำสั่งซื้อของลูกค้าในยุโรปรวมถึงอังกฤษได้กลับเข้าสู่สภาวะปกติแล้ว
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ซาบีน่า ยังกล่าวถึงการปรับขึ้นค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำทั่วประเทศ ที่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มกราคม 2563 ว่า การปรับขึ้นค่าแรงเพิ่มขึ้น 5-6 บาทต่อวัน หรือคิดเป็น 1.85% จากวันละ 325 บาทเป็น 331 บาท ไม่มีผลกระทบกับต้นทุนของบริษัทฯ เนื่องจากที่ผ่านมา ซาบีน่าได้เตรียมรับมือกับการปรับขึ้นค่าแรง โดยเน้นดูแลควบคุมต้นทุนในด้านอื่นๆ โดยเฉพาะการใช้เทคโนโลยีรวมถึงนวัตกรรมการผลิตใหม่ๆ ทำให้การผลิตสินค้ามีประสิทธิภาพขึ้น รวมถึงการรุกการขายในช่องทางออนไลน์ที่ทำให้ต้นทุนบริหารจัดการเรื่องหน้าร้านและพนักงานขายลดลง
"การปรับขึ้นค่าแรงเฉลี่ย 1.85% อาจจะถือว่าเป็นปัจจัยบวกกับซาบีน่าด้วยซ้ำ เพราะก่อนหน้านี้ เราตั้งสมมติฐานว่าค่าแรงจะปรับขึ้นมากกว่านี้ แต่การปรับขึ้นครั้งนี้น้อยกว่าที่คาดไว้ เท่ากับว่า ซาบีน่าจะได้รับผลกระทบน้อยลงหรือไม่ได้รับผลกระทบเลย ซึ่งทำให้เราอาจจะต้องปรับประมาณการผลการดำเนินงานใหม่อีกครั้งในทิศทางที่ดีขึ้นจากปัจจัยดังกล่าว" นายบุญชัยกล่าว