กรุงเทพฯ--17 ธ.ค.--บางกอก ออทัม
นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักกลยุทธ์การลงทุน บมจ.หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ให้ความเห็นว่า ปี 2562 เป็นปีที่ไม่ค่อยสดใสสำหรับตลาดทุนไทย โดยเปิดต้นปี ดัชนีอยู่บริเวณ 1,563 จุด ไปทำจุดสูงสุดของปีในช่วงเดือนกรกฏาคม ที่บริเวณ 1,748 จุด และช่วงท้ายปีปรับตัวลงมาอยู่บริเวณ 1,570+/- ถ้าคิดเป็นผลตอบแทนของ SET index ปี 2562 ถือว่าบวกได้เพียง 1% โดยการปรับตัวลงในช่วงท้ายปีตอบรับเหตุการณ์เลวร้ายต่างๆ เช่น การยืดเยื้อของสงครามการค้า, ปัญหาเศรษฐกิจในประเทศที่เติบโตต่ำคาด อย่างไรก็ดีเราเชื่อว่าดัชนีหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมาตอบรับปัจจัยลบมากไปแล้ว และปัจจัยดังกล่าวคาดปรับตัวดีขึ้นในปี 2563 โดยประเมินปัญหาสงครามการค้ามีพัฒนาการเชิงบวกมากขึ้น หลังจากบรรลุข้อตกลงการค้าเฟส 1 ผสานกับสัญญาณเศรษฐกิจไทยที่คาดฟื้นตัวขึ้นจากการขับเคลื่อนของทั้งนโยบายการเงินและการคลังจากภาครัฐ รวมถึงการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ที่ถือเป็นอีกประเด็นสำคัญที่จะช่วยกระตุ้นความเชื่อมั่นต่อการลงทุนปรับตัวขึ้น ดังนั้นจากปัจจัยที่ได้กล่าวข้างต้นเราจึงประเมินดัชนีหุ้นไทยกำลังเข้าสู่จุดฟื้นตัว
ท่ามกลางปัญหาสงครามการค้าที่ยืดเยื้อมากว่า 2 ปี ส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจทั่วโลก ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่กดดันการลงทุนมาโดยตลอด แม้ว่าช่วง 4Q62 เราเริ่มเห็นสัญญาณของการเจรจาระหว่างสหรัฐฯกับจีนมากยิ่งขึ้น หลายครั้งเริ่มมีความหวัง แต่สุดท้ายมักจะจบลงด้วยความผิดหวัง เนื่องจากการจะหาข้อตกลงทางการค้าให้เป็นที่น่าพอใจของทั้ง 2 ฝ่ายค่อนข้างยาก โดยทางด้านสหรัฐฯ ก็ต้องการให้จีนเร่งซื้อสินค้าเกษตร เนื้อสัตว์ ในปริมาณสูง เพื่อเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรของสหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นฐานเสียงที่สำคัญก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดี ในช่วงปลายปี 2563 ในขณะที่ ทางฝั่งจีนต้องการให้ สหรัฐฯ ยกเลิกการขึ้นภาษีนำเข้าจากจีนในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งมีสินค้าที่โดนผลกระทบแล้วกว่า 3.6 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ อย่างไรก็ดี เราเชื่อว่าการเจรจาการค้าจะเดินหน้าต่อเนื่องเพื่อหาจุดที่พึงพอใจของทั้งสอง ฝ่าย โดยเราเชื่อว่าจุดต่ำสุดได้ผ่านพ้นไปแล้วในปี 2562 จากการปลดล็อคเจรจาการค้าเฟส 1 และจะค่อยๆผ่อนคลายลงในปี 2563 แม้อาจต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง แต่ก็น่าจะออกมาในเชิงบวกก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในช่วงปลายปีหน้าได้
สำหรับช่วงต้นปี 2563 ถือว่าเป็นช่วงเวลาแห่งความหวังอีกครั้ง โดยเรามักจะเห็นบริษัทจดทะเบียนต่างๆมีการกำหนดเป้าหมายและกลยุทธ์ในช่วงต้นปี และแน่นอนว่าเป้าหมายดังกล่าวมักจะออกมาค่อนข้างท้าทาย โดยจุดที่ได้เปรียบของปี 2563 คือ บริษัทส่วนใหญ่มีฐานกำไรในปี 2562 ค่อนข้างต่ำ จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวแรง ดังนั้นการฟื้นตัวจากฐานที่ต่ำ ถือว่ามีความเป็นไปได้ หลังจากเราเริ่มเห็นสัญญาณของปัญหาต่างๆ เข้าสู่ช่วงเวลาการฟื้นตัว แต่อย่างไรก็ดีทุกอย่างคงต้องใช้ระยะเวลาในการเยียวยาก่อนกลับสู่ภาวะปกติ
ประเมินเป้าหมายดัชนีปี 2563 ที่ 1,720 จุด สัญญาณเศรษฐกิจที่ชะลอตัวกดดันกำไรบริษัทจดทะเบียนอ่อนแอ ส่งผลให้ตลอดปี 2562 นักวิเคราะห์ปรับลดประมาณการลงต่อเนื่อง ทำให้ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลง แต่อย่างไรก็ดีเราคาดว่าปี 2563 ภาพรวมเศรษฐกิจภายในและภายนอกจะเข้าสู่จุดฟื้นตัว ท่ามกลางนโยบายผ่อนคลายทางการเงินของธนาคารกลาง และเร่งใช้นโยบายการคลังมากขึ้น ผสานกับปัญหาสงครามการค้าที่คาดจะมีพัฒนาการเชิงบวก คาดหนุนกำไรรวมของบริษัทจดทะเบียนเติบโตจากฐานต่ำราว +9.4 % YoY สู่ระดับ 1.07 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นกำไรต่อหุ้น (EPS) ที่ 101.7 บาท ต่อหุ้น ซึ่งหากอิงค่าเฉลี่ย PE Ratio ของ SET 10 ปีย้อนหลัง +1.5 S.D ที่ระดับ 16.9 เท่า จะได้ดัชนีเป้าหมายของ SET Index ปี 2563 ที่ 1,720 จุด
คาด SET ช่วง 1Q63 ฟื้นตัวในกรอบ 1,500-1,650 จุด จากคาดการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนมีการพัฒนาดีขึ้น ผสานกับเศรษฐกิจในประเทศที่มีโอกาสเร่งตัวขึ้นจากฐานต่ำ ทั้งด้านการบริโภคผ่านนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ส่วนการลงทุนภาคเอกชน และการใช้จ่ายจากภาครัฐฯ ปรับตัวตอบรับการปลดล๊อคผ่าน พรบ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ซึ่งจะเร่งเบิกจ่ายภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2563 ผสานกับการดำเนินนโยบายการคลังของธนาคารกลางทั่วโลกที่มากขึ้น ในขณะที่ทิศทางดอกเบี้ยทั่วโลกคาดยังทรงตัวในระดับต่ำ เป็นบวกต่อตลาดสินทรัพย์เสี่ยง โดยธีมการลงทุนเด่น เน้นสะสมหุ้น Valuation ไม่แพง, ปันผลสูง, เข้าสู่ช่วง High Seasons และมีการเติบโตของกำไรอย่างยั่งยืน โดยเราเลือก AOT, BBL, BEM, CPN เป็นหุ้นเด่นประจำไตรมาส 1Q63