กรุงเทพฯ--19 ธ.ค.--ธนาคารกสิกรไทย
KBank Private Banking ไม่หยุดยั้งพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์ลงทุนต่อเนื่องตลอดปี 2562 ประกาศความสำเร็จ ครองตำแหน่งผู้นำให้บริการไพรเวทแบงก์ในไทย คว้า 14 รางวัลไพรเวทแบงก์ยอดเยี่ยมจาก 9 สถาบันระดับโลก แม้ตลาดลงทุนคาดเดาสถานการณ์ยาก ยังสามารถพาพอร์ตลงทุนที่แนะนำลูกค้าเติบโต 12.5% ประกาศเดินหน้าผนึกกำลังพันธมิตรระดับโลก Lombard Odier ครบปีที่ 5
นายจิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์ Private Banking Group Head ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า "ในปีนี้ตลาดลงทุนโลกยังคงมีความผันผวนสูง ส่งผลให้การลงทุนท้าทายต่อเนื่อง ธนาคารฯ จึงเน้นพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์ลงทุน เพื่อบริหารความเสี่ยง สร้างผลตอบแทน และเพิ่มความหลากหลาย ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกช่วงปลายวัฏจักร (Late Cycle) ธนาคารฯ มองว่าเป็นโอกาสดีที่จะให้แนะนำลูกค้าปรับพอร์ตการลงทุน (K-Alpha) โดยให้ความสำคัญกับการลงทุนแบบกระจายความเสี่ยง ผ่านกลยุทธ์กองทุนแบบผสมที่ใช้กรอบความเสี่ยงควบคุม (Risk-based allocation) ควบคู่กับการลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก (Alternatives) อย่างทองคำ และหุ้นนอกตลาด ให้ความเสี่ยงอยู่ในระดับสมดุล เห็นได้จากการเติบโตของพอร์ต K-Alpha ถึง12.5% โดยที่ความเสี่ยงของพอร์ตอยู่ที่ 4.5% เท่านั้น จึงทำให้ผลตอบแทนต่อหนึ่งหน่วยความเสี่ยงของพอร์ต K-Alpha สูงถึง 2.8 เท่า
จากนวัตกรรมผลิตภัณฑ์และบริการที่แนะนำ ทำให้ได้รับรางวัลด้านไพรเวทแบงก์ รวม 14 รางวัล จาก 9 สถาบันระดับสากลทั่วโลก อาทิ Best Private Bank ในประเทศไทย จากหลายสถาบัน เช่น Asian Private Banker, Finance Asia และ The Asset รวมถึงการเป็น Best Private Bank ในภูมิภาค ASEAN จากสถาบัน The Digital Banker นอกจากนี้ธนาคารฯ ยังได้รางวัล Outstanding RM Training and Development Program จากPrivate Banker International Global Wealth Summit and Awards 2019 สะท้อนถึงความเป็นผู้นำด้านการพัฒนาพนักงาน อีกทั้งยังเป็นที่หนึ่งด้านการใช้เทคโนโลยีในธุรกิจไพรเวทแบงก์ ด้วย Outstanding Wealth Management Technology Initiative - Back Office จากสถาบันข้างต้น และอีก 2รางวัลจากสถาบัน PWM's second annual Wealth Tech Awards คือรางวัล Best Private Bank for Digital Culture Asia และ รางวัล Best Private Bank for Digitally Empowering Relationship Managers Asia เป็นสิ่งการันตีความสำเร็จได้เป็นอย่างดี"
ไฮไลท์ผลิตภัณฑ์และบริการในปี 2562 อาทิ
- คำแนะนำให้ลูกค้าปรับพอร์ตลงทุน ลดความเสี่ยงโดยรวมลง รับเศรษฐกิจโลกช่วงปลายวัฏจักร (Late Cycle) โดยมีสัดส่วนการลงทุนใน Core Portfolio / สินทรัพย์ปลอดภัย / เงินสดที่สูงขึ้น และลดความเสี่ยงจากหุ้น Growth ลง รวมถึงแนะนำกองทุนนวัตกรรมเพื่อบริหารความเสี่ยง เช่น
1. กองทุน Sustainability Fund (K-CHANGE): ส่งเสริมและผลักดันการลงทุนในบริษัททั่วโลกที่ให้ความสำคัญของ ESG เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว รวมถึงสร้างบริษัทที่เน้นสร้างผลกระทบทางบวกให้กับโลก
2. กองทุน Private Equity Fund: กองทุนหุ้นนอกตลาดทั่วโลก กองแรกของประเทศไทย
3. กองทุน Fixed Maturity กองทุนตราสารหนี้เอเชียที่มีกำหนดระยะเวลา เพื่อผลตอบแทนที่สูงขึ้นกว่าดอกเบี้ยที่อยู่ในแนวโน้มขาลง และยังทราบระดับผลตอบแทนชัดเจน
4. กองทุน Risk-based Allocation ใหม่ (K-GLAM): กองทุนแบบผสมที่ใช้กรอบความเสี่ยงควบคุมในการปรับพอร์ต
- บริการที่ปรึกษาด้านการบริหารสินทรัพย์ครอบครัว(Family Wealth Planning Service) และบริการที่ปรึกษาด้านการบริหารสินทรัพย์นอกตลาดทุน (Non-Capital Market Investment) เป็นบริการที่ KBank Private Banking ริเริ่มให้บริการเป็นเจ้าแรกในประเทศไทย ตั้งแต่ปี 2558และยังพัฒนาการให้บริการอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น การช่วยกำหนดธรรมาภิบาลในครอบครัว การทำธรรมนูญครอบครัว การช่วยจัดตั้งสำนักงานครอบครัว และการให้คำปรึกษาเรื่องการใช้ประโยชน์ที่ดิน โดยในปีนี้สิ่งที่ลูกค้ากังวลเป็นพิเศษ คือเรื่องการวางแผนภาษี โดยเฉพาะภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เราให้คำแนะนำลูกค้าในการบริหารภาระภาษี โดยผ่านโครงการ Land Loan for Investment ซึ่งมีลูกค้าสนใจสนใจเป็นจำนวนมาก รวมมูลค่าที่ดินกว่า 1.2 หมื่นล้านบาท คิดเป็นวงเงินสินเชื่อประมาณ 6 พันล้านบาท
"การดำเนินธุรกิจ KBank Private Banking ในปี 2562 ยังเติบโต โดยมีจำนวนลูกค้า 11,600 ราย สินทรัพย์ภายใต้การจัดการทั้งหมดประมาณ7.5 แสนล้านบาท โดยมีสินทรัพย์ลงทุนรวมถึง 4.5 แสนล้านบาท เติบโตขึ้น 7% และ มีสินทรัพย์ลงทุนซับซ้อน เติบโตขึ้นถึง 24.7% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา สำหรับปี 2563 ธนาคารฯ ยังสานต่อการให้บริการที่ปรึกษาทางการเงินส่วนบุคคลที่ครบถ้วนที่สุดในประเทศไทย พร้อมผสานความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ระดับโลกอย่าง Lombard Odier อย่างแข็งแกร่งมากขึ้น เตรียมเปิด KBank Private Banking Lounge แห่งแรก ณ ห้างสรรพสินค้า เอ็มควอเทียร์ เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้ลูกค้า เพราะอยู่ในจุดที่ลูกค้ามาเป็นประจำ และอยู่ในอาคารเดียวกับสำนักงานด้วย อีกทั้งยังเป็นการเพิ่ม Brand Visibility ตอกย้ำความร่วมมือกับ Lombard Odier" นายจิรวัฒน์ กล่าวเสริม
"ตัวเลขเศรษฐกิจโลกที่ส่งสัญญาณชะลอตัวลงต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ธนาคารฯ ยังไม่คาดว่าจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในอีก 12 เดือนข้างหน้า เรามองว่าตลาดทุนโลกปีหน้า ยังผันผวนสูงต่อเนื่อง ความตื่นตระหนกของตลาดจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว การลงทุนจะทำได้ยากลำบากขึ้น โดยความเสี่ยงสำคัญจะมาจากความไม่แน่นอนทางการเมือง ทั้งจากข้อพิพาททางการค้า และการเลือกตั้งสหรัฐฯในปี 2563 โดยธนาคารฯ ได้รวบรวม 5กลยุทธ์การลงทุนที่จะแนะนำลูกค้าในปีหน้า ได้แก่ 1) กระจายความเสี่ยงและเพิ่มความคล่องตัวของพอร์ต 2) ป้องกันพอร์ตด้วยสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ทองคำ และกลยุทธ์การลงทุนแบบ Hedged Fund ที่ใช้กลยุทธ์การ Long และ Short หุ้นพร้อมๆ กัน 3) เน้นกลยุทธ์ Carry ในกลุ่ม High Yield ที่ให้ดอกเบี้ยสูงกว่า 4) ระมัดระวังกับการลงทุนในหุ้น โดยควรเลือกกลุ่มธุรกิจที่ยังมีการเติบโตของกำไรสุทธิที่ดี เช่น หุ้นในกลุ่มเฮลท์แคร์ เทคโนโลยี และพลังงาน ไปจนถึง หุ้นประเทศตลาดเกิดใหม่บางประเทศยังน่าสนใจ 5) สร้างผลตอบแทนเพิ่มเติมในสินทรัพย์ทางเลือกอย่างอสังหาริมทรัพย์ หุ้นนอกตลาด และโครงสร้างพื้นฐานอาจที่มีความผันผวนทางด้านราคาตามตลาดน้อยกว่า แต่เหมาะสำหรับก้อนเงินลงทุนที่สามารถทิ้งไว้ได้ระยะยาว 5 ปีขึ้นไป และเป็นแค่ส่วนน้อยของพอร์ตเท่านั้น" นายจิรวัฒน์ กล่าวปิดท้าย