กรุงเทพฯ--4 มี.ค.--ออฟฟิศเมท
พาที สารสิน ชื่อนี้หลายคนรู้จักเขาจากสกุล “สารสิน” ที่แค่เอ่ยก็รู้ได้ถึงความมีชื่อเสียงระดับประเทศและได้รับเกียรติจากคนใน วงสังคมเป็นอย่างสูง เนื่องจากเกียรติประวัติของบรรดาบุคคลในตระกูลสารสินที่ได้ทำชื่อเสียงให้ประเทศในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ทางด้านการเมือง ธุรกิจข้ามชาติ รวมไปถึงบุคคลในตระกูลสารสินอีกหลายท่านที่ได้รับใช้ชาติและใต้เบื้องพระยุคลบาท
หลาย ๆ คนรู้จักเขาว่าเป็นหนุ่มโสดนักธุรกิจ ไฮโซ จบจากนอก ที่มักจะพูดไทยปนอังกฤษอยู่เป็นนิจ และมีประสบการณ์ การทำงานด้านธุรกิจโฆษณาอย่างช่ำชองพร้อมกับผลงานสร้างแบรนด์ของสินค้าต่าง ๆ ให้ติดตลาด หนึ่งในผลงานที่สร้างชื่อ เช่น “DTAC ง่ายสำหรับคุณ” และในวันนี้หากใครรู้จักเขา พาที สารสิน ให้ใกล้ชิดเข้าไปอีกนิด กับบทบาท CEO ผู้บริหารของสายการบินนกแอร์ ที่มีโลโก้เป็น หัวนกอ้าปากหวอสีเหลืองสดใสที่บ่งบอกถึงความเป็นมิตรและขี้เล่นของเจ้านกตัวนี้ ก็คงจะเดาได้ไม่ยากถึง “สาร” ที่ พาทีต้องการจะบอกพร้อม ๆ กับความเป็นตัวตนที่แตกต่างจากกรอบเดิม ๆ แต่หากอยากจะล้วงลึกไปกว่านี้ ต้องไปพิสูจน์กับเจ้าตัวเองค่ะ
at office : สายการบินนกแอร์ถือได้ว่ามีความแตกต่างจากสาย การบินอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นจากการโปรโมทด้วยตัวคุณพาทีที่กล้าที่จะแต่งตัวเป็นนกซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของนกแอร์ในวันที่เปิดตัวสนามบิน สุวรรณภูมิ หรือตัวสินค้าเองที่สามารถเปิดจองตั๋วได้ทุกที่ อะไรทำให้นกแอร์แตกต่างอย่างเห็นได้ชัดคะ
คุณพาที : เป็นคอนเซ็ปต์ของเราอยู่แล้วที่นกแอร์ต้องการฉีกจากสายการบินอื่น เนื่องจากงบโฆษณาเราไม่ได้มาก เพราะฉะนั้น ในการที่จะทำให้โดดเด่นเนี่ยเราต้องทำในสิ่งที่คนอื่นไม่กล้าทำ และถ้าเป็นสิ่งที่คนอื่นไม่เคยทำหรือไม่กล้าทำเนี่ยมันเด่นแน่ ๆ
at office : แล้วผลตอบรับจากการที่เรากล้าที่จะทำอะไรที่คนอื่น ไม่กล้าแน่ ๆ คืออะไร
คุณพาที : ก็ทำให้เราไม่จำเป็นต้องใช้งบโฆษณาสูงขนาดนั้น ซึ่งทำให้เราได้ same level ของ awareness คือคนรู้จักแบรนด์นกแอร์ได้โดยใช้งบประมาณไม่มาก จริง ๆ แล้วไม่ใช่ผมคนเดียวแต่มันเป็นนโยบายของทั้งบริษัทเลยเพียงแต่เขาใช้ผมเป็นจุดเด่นเพื่อว่าเราจะได้รู้ถึง Personality ของแบรนด์ว่าเป็นยังไง
at office : แล้วจริง ๆ Personality ของแบรนด์นกแอร์เป็นอย่างไรคะ
คุณพาที : จริง ๆ แล้วบุคลิกของนกแอร์เป็นแบรนด์ที่เฟรนด์ลี่กับสบาย ๆ มากเลยครับ แล้วก็เข้าถึงได้ง่ายเราไม่อยากให้สายการบินดูแล้วเป็นอะไรที่ไฮหรือหรูหราเข้าถึงยากเพราะมันอยู่ในส่วนของการคมนาคมซึ่งคนต้องใช้เป็นประจำอยู่แล้ว
at office : เท่าที่ทราบมาคือคุณพาทีมีนโยบายอยากจะให้คนจองตั๋วของสายการบินนกแอร์จากที่ไหนก็ได้
คุณพาที : ครับ ที่ไหนก็ได้เลย ที่มีอินเทอร์เน็ตเข้าถึงหรือมีโทรศัพท์เราสามารถโทรเข้า 1318 CALL CENTER ซึ่งเป็นสายการบินที่เข้าถึงได้จริง ๆ
at office : โดยส่วนใหญ่แล้วสายการบินก็จะเน้นที่การบริการเป็นมาตรฐานอยู่แล้วทุกสายการบิน แต่ของนกแอร์ที่คุณพาทีบอกว่าเน้นที่ความเฟรนด์ลี่และความสบาย ๆ มากกว่าสายการบินอื่นจุดไหนที่ทำให้ต่างคะ
คุณพาที : ของเราเฟรนด์ลี่ในทางที่แตกต่างนะครับ ในเรื่องการ distribution ของเราก็เฟรนด์ลี่คือไม่มีสายการบินไหนในประเทศไทยสามารถซื้อ On Line กับ SevenEleven หรือผ่านทางตู้ ATM คือแม้กระทั่งสินค้าเองก็เฟรนด์ลี่กับผู้ซื้อด้วย คือมันไม่ใช่แค่ยิ้มแย้มอย่างเดียว มันทุกจุดที่เราทำให้ง่ายกับคนไม่ใช่แค่ภาพหรือโฆษณาที่ออกมา
at office : หลังจากที่เราทำแบบนี้ทั้งภาพลักษณ์และตัวสินค้าที่เฟรนด์ลี่ผลตอบรับที่ออกมาเป็นอย่างไรบ้างคะ
คุณพาที : ก็ดีเกินคาด เพราะเราไม่ได้คิดว่าเราจะติดตลาดได้เร็วขนาดนี้ แต่ในขณะเดียวกันก็มีคู่แข่งเยอะ
At office : ในส่วนตัวคุณพาทีเองทำยังไงให้ตัวเองมีความคิดสร้างสรรค์ออกมาได้ตลอดภายใต้การแข่งขันหรือสภาวะความกดดัน
คุณพาที : ผมเจอสภาวะแรงกดดันทุกวันฮะ แต่เราต้องเข้าใจกับแรงกดดันที่เกิดขึ้นเพียงแต่เราอย่าเอาแรงกดดันนั้นมากำหนดเรา ไม่งั้นโลกนี้มันคงไม่น่าพิสมัยเท่าไหร่ อย่างเช่น ราคาน้ำมัน คือเราเข้าใจเสร็จก็ต้องเผชิญกับมันคือมันต้องเป็นความคิดในเชิงบวก ถ้าเรามีทัศนคติในเชิงลบต่อปัญหาเมื่อไหร่อันนี้จะเป็นปัญหา
At office : คิดมั้ยคะว่านกแอร์เป็นที่รู้จักได้ ส่วนหนึ่งมาจากคำว่า พาที สารสิน
คุณพาที : ทุกคนมีหน้าที่ของตัวเองในการทำงานหรือในการทำงานในสายการบินนกแอร์ เพียงแต่ของผมเป็นไฮโปรไฟล์ ผมเพิ่งคุยกับพนักงาน เมื่อเร็ว ๆ นี้เองว่าจุดที่ทำนี่มันอยู่ที่ Front Line Service ถ้าเซอร์วิสไม่ดีจะเป็นพาทีหรือจะเป็นใครลูกค้าเค้าไม่สนใจหรอก ฉะนั้น มันอยู่ที่ทีมงาน Front Line Service ทั้งหลาย ผมเป็นแค่ตัวประกอบในการสื่อสาร สร้าง Brand Perception เป็น Communicator ของสายการบินที่ผมทำ เพราะฉะนั้น บอกได้เลยมันไม่ใช่ มันอยู่ที่ทีมงานทั้งหมดที่ทำจะทำให้นกแอร์ประสบความสำเร็จหรือไม่ประสบความสำเร็จ
At office : คุณพาทีมีวิธีการอย่างไรคะในการสร้างบรรยากาศของการทำงานให้ผ่อนคลายและเอื้ออำนวยต่อการสร้างสรรค์งานตามแบบฉบับนกแอร์
คุณพาที : ตัวผมเองก็จะต้องทำตัวเองให้ไม่ถือทิฐิและไม่ถือตัวว่าเป็น CEO และแตะต้องไม่ได้ คือเราจะต้องทำตัวให้เข้าถึงได้ตั้งแต่พนักงานระดับล่างเลยทำให้เราเข้าใจเขามากกว่า และทำให้เขาเข้าใจในบริษัทเรามากขึ้น อย่างพวกข่าวลือของบริษัทต่าง ๆ ก็จะได้เป็นการชี้แจง ข้อเท็จจริงด้วย แล้วเจอผมก็ไม่ต้องมานั่งดูแลผมไม่ใช่อย่างงั้น คือ ต้องคอยสื่อสารกับพนักงานอยู่ตลอดเวลา
At office : คุณพาทีพูดถึงข่าวลือ จริงหรือเปล่าคะที่ผู้โดยสารต้องแย่งที่นั่งกันใครขึ้นก่อนได้ที่นั่งก่อน
คุณพาที : ไม่จริงฮะ ไปแก้ข่าวลือได้เลย
At office : คุณพาทีได้ชื่อว่าเป็นผู้บริหารที่คิดนอกกรอบ มีใครเป็นแบบอย่างหรือแม้แต่สิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ที่เคยเจอมามีอิทธิพลทางความคิดมั้ยคะ
คุณพาที : มีหลายจุดนะฮะ จะมาที่คน ๆ เดียวเลยที่ผมเอาเป็นแบบอย่างก็ไม่ใช่ มันมีหลายองค์ประกอบจากผู้ใหญ่หลายคนที่ผมเคยสัมผัสมา เพียงแต่ผมพยายามดึงจุดหลาย ๆ จุดของแต่ละคนที่ผมคิดว่าเป็นจุดดีมาผสมผสานกัน ซึ่งคิดว่าเป็นจุดที่เราคิดว่าน่าจะตามนะ แต่ถ้าเป็นแค่คน ๆ เดียวเนี่ยคงไม่มี เพราะว่าการเป็นตัวของตัวเองก็เป็นอะไรที่ยากอยู่แล้ว แล้วต้องมาให้เหมือนคนนั้นคนนี้อีกผมว่าลำบาก ผมว่าการเป็นปัจเจกบุคคลมันเป็นอะไรที่สำคัญ
At office : บุคลิกและความคิดอ่านของคุณพาทีจะเป็นการผสมผสานระหว่างความเป็นตะวันตกและตะวันออก เพราะเนื่องจากไปโต เรียนหนังสือและใช้ชีวิตที่ต่างประเทศตั้งแต่ยังเด็ก อยากทราบว่าการทำงานที่คิดนอกกรอบกับการทำงานกับผู้บริหารคนไทยระดับอาวุโส มีปัญหาที่ต้องไฟท์มากน้อยแค่ไหนคะ
คุณพาที : คือสิ่งที่ผมทำหลายอย่างไม่เพียงเป็นปัญหาแต่กับผู้บริหารระดับสูงแต่กับระดับกลางก็มีปัญหา อย่างเช่น เรื่องการแต่งตัวมาทำงาน แต่ผมจะเป็นคนไฟท์โดยมีเหตุผลมาสนับสนุนไม่ใช่ไม่มีเหตุผล คือผมค่อนข้างจะเป็นนักโน้มน้าวพอสมควร แล้วผมก็ทำการบ้านมาเยอะทำให้คนที่ผมไปไฟท์กับเขาในตอนแรกเนี่ยยอมผมอย่างจริงใจ เพราะสุดท้ายแล้วเขาก็จะมองสิ่งที่ผมทำว่าผมไม่ได้ทำเพื่อตัวเองแต่ทำเพื่อส่วนรวม เพราะฉะนั้น มันไม่ได้อยู่ที่ว่าเราพูดอะไร แต่อยู่ที่เราทำอะไร
At office : คุณพาทีมีวิธีการทำงานเป็นทีมกับผู้บริหารท่านอื่นหรือพนักงานในบริษัทอย่างไรคะ
คุณพาที : เพื่อนร่วมงานเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับผม ถามว่ามีเถียงกันมั้ยเถียง คนอื่นเห็นนึกว่าทะเลาะกัน เปล่าไม่ได้ทะเลาะกัน แต่คนเหล่านี้ทำให้ผมรู้สึกว่าเหมือนอยู่ในห้องเรียนหนังสือซึ่งทำงานมาด้วยกัน แล้วเหมือนเกิดโปรเจ็คท์ในมหาวิทยาลัย บางทีเราก็ไม่ได้นั่งประชุมกัน เป็นทางการบางทีก็นั่งกินเบียร์กันไปคุยกันไป หลายครั้งหลายหนก็นั่งคุยกันนอกสถานที่ซึ่งทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ใหม่ ๆ
At office : ทราบมาว่านกแอร์มี Reality Show ด้วย
คุณพาที : จริง ๆ แล้วเรามีสารคดีของนกแอร์ที่ได้ถ่ายทำไว้ด้วยถึงเบื้องหลังของการเป็นสายการบินนกแอร์ แต่ยังไม่ได้ออกอากาศครับ
At office : จุดประสงค์ที่ทำขึ้นมาเพื่ออะไรคะ
คุณพาที : ก็อยากจะบอกว่าสายการบินไม่ได้มีแต่ด้านสวยงามอย่างเดียว มีทั้ง Bad times และ Good times คือปกติแล้วเนี่ยส่วนใหญ่คนจะโชว์กันแต่ด้านที่สวยงาม แต่ผมต้องการโชว์การทำงานจริง ๆ ว่าเป็นยังไง หัวใจมันอยู่ที่เราต้องการอุทิศอะไรให้กับผู้โดยสารคือคนที่มองเห็นเรา มีทั้งด้านดีและไม่ดีและทุกสิ่งทุกอย่างก็มีหัวใจเท่านั้นที่เป็นแรงขับให้เราทำลงไป ซึ่งผมอยากจะให้เห็นขั้นตอนการทำงานต่าง ๆ ที่เป็นเบื้องหลัง Behind The Scene ของนกแอร์ มีทั้งทะเลาะกันยังไง ดุไม่ดุอะไรยังไง แล้วก็นำไปสู่คอนเซ็ปส์ของนกแอร์ที่สามารถเข้าถึงได้ สัมผัสได้
At office : เหตุผลหลักที่มาทำงานกับนกแอร์คืออะไร
คุณพาที : เพื่อนชวนผมก็มาทำ ผมอยากมาทำงานกับเพื่อน สนุกดี พูดถึงมันเป็นนิสัยผมอยู่แล้วคือดูน่าท้าทายดูน่าสนุกผมก็ทำ เพราะถ้าไม่สนุกผมไม่ทำเลย ปวดหัวเปล่า ๆ ที่ทำไม่ได้เพราะเงินหรืออยากรวยอะไรหรือทำเพราะอยากจะดัง ตอนนี้ผมก็มีร้านก๋วยเตี๋ยวผมอีก คนก็ถามว่าแค่นี้ยังไม่พออีกเหรอ ผมตอบก็อยากทำเอามัน
At office : ระหว่างงานที่เรารักกับงานที่เหมาะสม คุณพาทีมีมุมมองยังไงในการเลือกงานนั้น
คุณพาที : งานที่เหมาะสมผมว่าเป็นสิ่งสำคัญ เพราะว่าคนเราไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทำทุกสิ่ง แต่ส่วนใหญ่แล้วเหมาะสมก็ต้องรัก แล้วถ้ารักก็ต้องเหมาะสม แล้วถ้าอะไรที่ผมไม่เหมาะผมมีทีมงานที่เขาเหมาะกับตรงนั้น Put the right man to the right job มันไม่ใช่ทฤษฎีแต่มันเป็นความจริง
At office : มีคนอีกเยอะมากที่ไม่รู้ว่าตัวเองเหมาะกับงานอะไร คุณพาทีพอจะมีคำแนะนำให้ได้มั้ยคะ
คุณพาที : ครับ มีคนเยอะมากที่พยายามจะทำในสิ่งที่ตัวเองก็ไม่ได้ถนัด ลึก ๆ ตัวเองก็ไม่ได้ชอบ ถ้าจะได้ทำงานที่เขาชอบก็คือทำแล้วเขารู้สึกสนุกที่ได้ทำ หลายคนจบอย่างแต่ไปทำอีกอย่างเนื่องจากเขาอยากทำในสิ่งที่เขารู้สึกสนุกที่จะทำมากกว่า คนเราทำอะไรก็ได้ถ้าใจอยากจะทำ
At office : ถ้าให้คุณพาทีเปรียบตัวเองเป็นสินค้าหรือโฆษณาสักชิ้น คิดว่าตัวเองจะเป็นอะไร
คุณพาที : คิดว่าเป็นหนังยางหรือไม่ก็น้ำ เพราะน้ำสามารถเข้าไปอยู่ในภาชนะไหนก็ได้ คือสามารถปรับตัวเองให้เข้ากับสถานการณ์หรือสามารถปรับบริษัทตัวเองให้เข้ากับสถานการณ์ เพราะผมเป็นคนยืดหยุ่น
At office : พูดถึงความยืดหยุ่น คุณพาทีมีจุดไหนที่ตัวเองคิดว่าอันนี้คงจะไม่สามารถที่จะยืดหยุ่น ให้ได้
คุณพาที : ครับ เรื่องโกงกินเรื่องใต้โต๊ะหรืออะไรที่ไม่โปร่งใสผมไม่ทำ อะไรพวกนี้คือจุดยืนของเราที่เป็นเหมือนศีลธรรมจรรยา เพราะผมคิดว่าเรื่องพวกนี้ถ้ามันดำหนเดียวแล้วมันดำตลอดชีวิตมันไม่คุ้มกับชีวิตและชื่อเสียงของเรา แล้วตั้งแต่มาทำงานที่นกแอร์ก็ยังไม่มีใครมาเสนออะไรที่ไม่โปร่งใสกับผมเลย เพราะเขารู้ว่าผมไม่รับ แล้วอีกอย่าง ปู่ย่า ตายาย พ่อแม่ผมพวกเขาสร้างชื่อในเรื่องของความโปร่งใสมาตลอดจึงทำให้จุดนี้เป็นจุดที่ทำให้ผมต้องยึดถือต่อไปเพื่ออนาคตของครอบครัวและชื่อเสียงของวงศ์ตระกูล
At office : อยากให้คุณพาทีให้แนวคิดของการบริหารแก่ผู้บริหารใหม่ ๆ หรือพนักงานบ้างค่ะ
คุณพาที : การบริหารหมายถึงเราจะต้องบริหารจัดการ ไม่ได้หมายความว่าเราต้องเก่งอยู่คนเดียวหรือเราถูกเสมอ ไม่ได้หมายความว่าสองมือของเราเท่านั้น แต่เราต้องสามารถคุมมืออีกเป็นร้อย ๆ พัน ๆ มือให้ทำในสิ่งที่ไปในทิศทางเดียวกัน นั่นหมายความว่าเราต้องเสียสละ คือผู้บริหารจะต้องเป็นคนสุดท้ายที่ได้ผลประโยชน์และเป็นคนแรกที่จะต้องเสียสละ ถ้าเราไม่สามารถทำสำเร็จได้ ผู้บริหารนั่นแหละที่เป็นคนแรกที่จะต้องไปไม่ใช่ลูกน้อง เราจะต้องเป็นคนที่เปิดกว้าง แล้ว ไอเดียดี ๆ ทั้งหลายมาจากลูกน้องเสมอ นั่นเป็นสิ่งที่ผมพูดได้เต็มปากว่าไอเดียหลายไอเดียดี ๆ ไม่ได้มาจากเรามาจากลูกน้องของเรานั่นแหละที่เขาคลุกคลีและทำอยู่ทุกวัน เพียงแต่ยอมรับไอเดียของเขาและให้เครดิตกับเขาหลังจากที่มันประสบความสำเร็จขึ้นมา
ก่อนที่จะมาถึงบรรทัดนี้ คุณอาจจะคิดถึงพาที สารสิน ในแง่มุมอย่างที่กล่าวมาข้างต้น นามสกุลดัง ไฮโซ นักธุรกิจระดับสูงมากความสามารถ โดดเด่นในวงสังคม หรือเท่าที่คุณเห็นเป็นภาพในรูปแบบสองมิติตามสื่อต่าง ๆ แต่ที่ดิฉันเห็นในมิติที่สาม คือ “ความเข้าถึงได้” หรือที่เขามักจะพูดติดปากอยู่เสมอ ๆ ถึงคอนเซ็ปต์ของนกแอร์ว่า “Touchable”