กรุงเทพฯ--8 ม.ค.--พาร์ทูโกล
NCL ตั้งเป้ารายได้ปี63 แตะ1,500 ล้านบาท เก็บเกี่ยวผลประโยชน์เต็มเม็ดเต็มหน่วยเป็นปีแรก จากที่ได้ลงทุนจนเป็นผู้ให้บริการขนส่งครบวงจรทางเรือ ทางอากาศและทางบก เตรียมศึกษาธุรกิจโลจิสติกส์คาดจะมีความชัดเจนภายในปีนี้ แจ้งผลของสงครามการค้า และกรณีสหรัฐอเมริกางัดข้อกับอิหร่านไม่กระทบการค้า แต่ยอมรับกระทบรายได้เมื่อแปลงเป็นเงินบาท จากค่าเงินแข็งค่าจากระดับ 33บาทต่อเหรียญสหรัฐ เหลือ 29 บาทต่อเหรียญสหรัฐ
นายกิตติ พัวถาวรสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็นซีแอล อินเตอร์เนชั่นแนล โลจิสติกส์ จำกัด(มหาชน) เปิดเผยถึงแผนธุรกิจในปี 2563 ว่า ขณะนี้บริษัทฯ เป็นผู้ให้บริการขนส่งครบวงจรทั้งทางบก ทางอากาศและทางเรือ และจะรับรู้รายได้เต็มปีในปีนี้เป็นปีแรกจากที่ได้ทยอยลงทุนในระยะที่ผ่านมา โดยคาดว่าจะมีรายได้ที่ระดับ 1,500 ล้านบาท
ธุรกิจให้บริการขนส่งทางเรือ ยังคงเป็นธุรกิจหลักในการสร้างรายได้ โดยคาดว่าในปีนี้จะมีอัตราการเติบโตราว 10-20% ผลจากการที่ได้ลงทุนเปิดบริษัทในประเทศสิงคโปร์ เวียดนาม จีน อินโดนีเซีย และสหรัฐอเมริกา โดยในปีนี้จะรับรู้รายได้เต็มปีจากที่ได้ลงทุนไปในช่วงก่อนหน้านี้
ธุรกิจให้บริการขนส่งทางอากาศหลังจากได้ร่วมมือกับสายการบินอิสราเอล แอร์ไลน์ เพื่อให้บริการขนส่งสินค้าทางอากาศ เริ่มให้บริการเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2562 ซึ่งผลตอบรับค่อนข้างดี บริษัทฯเตรียมจะร่วมมือกับเทียนจิน แอร์ไลน์ สายการบินจากประเทศจีน เพื่อให้บริการขนส่งสินค้าระหว่างไทย-จีน จะเริ่มเปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 8 มกราคม 2563 นี้ ซึ่งคาดว่าจะมีผลตอบรับที่ดีเช่นกัน และในอนาคตมีโอกาสที่จะขยายความร่วมมือกับสายการบินอื่น ๆ
ขณะที่ธุรกิจให้บริการขนส่งทางบก เริ่มมีทิศทางที่ดีภายหลังปรับโครงสร้างด้วยการตัดขายเงินลงทุนในบริษัท เอสเอสเค อินเตอร์ โลจิสติกส์ จำกัด สำหรับธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำยาล้างไตและจำหน่ายเครื่องมือทางการแพทย์นั้น ยังมีทิศทางการเติบโตที่ดีคาดว่าในปีนี้จะรักษาอัตราการเติบโตอย่างเนื่องที่ระดับ 10%
พร้อมกันนี้ บริษัทฯอยู่ระหว่างศึกษาการทำธุรกิจเกี่ยวกับคลังสินค้า เพราะเล็งเห็นว่าจะมีส่วนสนับสนุนการให้บริการลูกค้า โดยคาดว่าภายในปีนี้น่าจะมีความชัดเจน "การดำเนินธุรกิจบริษัทฯโดยภาพรวม ไม่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า หรือแม้แต่ข้อขัดแย้งระหว่างอิหร่านและสหรัฐอเมริกาแต่อย่างใด เพราะพบว่าปริมาณการค้ายังคงเป็นไปโดยปกติ เพียงแต่ยอมรับว่าผลดังกล่าวกระทบให้ค่าเงินบาทแข็งค่าจาก 33 บาทต่อเหรียญสหรัฐ มาอยู่ในช่วง 29 บาทต่อเหรียญสหรัฐ กระทบต่อรายได้เมื่อคิดเป็นเงินบาท แต่ผลดังกล่าวเกิดขึ้นกับทุกบริษัทที่มีรายรับเงินดอลลาร์สหรัฐ"