กรุงเทพฯ--6 มี.ค.--ตลท.
บริษัทจดทะเบียนทำกำไรงวดปี 2550 รวมกัน 422,154 ล้านบาท และมียอดขายรวม 6,089,925 ล้านบาท กลุ่มที่มีอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิสูงสุด ได้แก่ กลุ่มเทคโนโลยี มีกำไรเพิ่มขึ้นร้อยละ 28 รองลงมาได้แก่ กลุ่มทรัพยากร มีกำไรเพิ่มขึ้นร้อยละ 7 และกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม มีกำไรเพิ่มขึ้นร้อยละ0.34 ในขณะที่ PTT SCC PTTEP BBL และ TOP ครองแชมป์บริษัทที่มีกำไรสุทธิสูงสุด 5 อันดับแรก
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ (SET) และตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) 526 บริษัท หรือร้อยละ 97 ของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมด 541 บริษัท (รวมกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ 16 กองทุน) ได้ส่งงบการเงินงวดสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2550 แล้ว โดยมีกำไรรวม 422,154 ล้านบาท ลดลง 48,378 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 10 ทั้งนี้ หากไม่รวมกำไรจากการปรับโครงสร้างหนี้ จะทำให้มีกำไรสุทธิลดลงจากปี 2549 ร้อยละ 4 ในขณะที่บริษัทจดทะเบียนโดยรวม (SET และ mai)สามารถทำยอดขายได้ 6,089,925 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 9 จากปี 2549 ที่มียอดขายรวม 5,582,039 ล้านบาท
สำหรับบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ (SET) ที่ส่งงบการเงินประจำปี 2550 จำนวน 476 บริษัท (จากทั้งหมด 490 บริษัท) มีกำไรสุทธิรวม 420,186 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 10 โดยมียอดขายรวม 6,044,925 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2549 ร้อยละ 9
“สาเหตุหลักที่ทำให้บริษัทจดทะเบียนโดยรวมมีกำไรลดลงจากปี 2549 มาจากการที่สถาบันการเงินมีการตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้นตามเกณฑ์ใหม่ของธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานการบัญชีระหว่างประเทศ (IAS39) ประกอบกับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนลดลง ซึ่งเป็นผลมาจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นมาตั้งแต่ต้นปี รวมถึง กำไรจากการปรับโครงสร้างหนี้ลดลงจากเดิม อย่างไรก็ตาม บริษัทจดทะเบียนรวม SET และ mai ยังสามารถทำยอดขายเพิ่มขึ้นจากปี 2549 ร้อยละ 9” นางภัทรียากล่าว
สำหรับบริษัทในกลุ่ม SET50 มีกำไรสุทธิ 343,564 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 81 ของกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนรวม (422,154 ล้านบาท) ลดลงร้อยละ 5 ทั้งนี้ ยอดขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 11 ต้นทุนขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 12 จึงทำให้กำไรขั้นต้นลดลงเป็นร้อยละ 24
ส่วนบริษัทในกลุ่ม SET100 มีกำไรสุทธิ 377,659 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 89 ของกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนรวม (422,154 ล้านบาท) ลดลงร้อยละ 9 เนื่องจากยอดขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 ขณะที่ต้นทุนขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 11
ทั้งนี้ หากพิจารณากลุ่มอุตสาหกรรมที่มีอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น ประกอบด้วย กลุ่มเทคโนโลยีมีกำไรสุทธิ 38,085 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 28 กลุ่มทรัพยากร มีกำไรสุทธิ 207,020 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 7 ตามด้วยกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม มีกำไรสุทธิ 34,788 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.34
สำหรับบริษัทจดทะเบียนมีกำไรสุทธิสูงสุด 5 อันดับแรก คือ บมจ.ปตท. (PTT) บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ธนาคารกรุงเทพ (BBL) และบมจ. ไทยออยล์ (TOP)
สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน 8 กลุ่มอุตสาหกรรม (Industry Group) ที่นำส่งงบการเงิน ไม่รวมบริษัทจดทะเบียนที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน (Non-Compliance: NC) และบริษัทจดทะเบียนในกลุ่มที่แก้ไขการดำเนินงานไม่ได้ตามกำหนด (Non-Performing Group : NPG) รวม 458 บริษัท มียอดขายเพิ่มขึ้นเกือบทุกกลุ่ม โดยมีกำไรสุทธิ 425,332 ล้านบาท โดยผลการดำเนินงานเรียงตามกลุ่มที่มีกำไรสุทธิสูงสุด มีดังนี้
1.กลุ่มทรัพยากร ประกอบด้วย หมวดพลังงานและสาธารณูปโภค และหมวดเหมืองแร่ มีกำไรสุทธิ 207,020 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2549 เท่ากับ 13,967 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 7
2.กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง ประกอบด้วยหมวดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ หมวดวัสดุก่อสร้าง และกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ มีกำไรสุทธิ 69,397 ล้านบาท ลดลงจากปี 2549 เท่ากับ 12,904 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 16
3.กลุ่มบริการ ประกอบด้วย หมวดการแพทย์ หมวดการท่องเที่ยวและสันทนาการ หมวดขนส่งและโลจิสติกส์ หมวดบริการเฉพาะกิจ หมวดพาณิชย์ และหมวดสื่อและสิ่งพิมพ์ มีกำไรสุทธิ 40,774 ล้านบาท ลดลงจากปี 2549 คิดเป็นร้อยละ 18
4.กลุ่มเทคโนโลยี ประกอบด้วยหมวดเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และหมวดชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ มีกำไรสุทธิ 38,085 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2549 เท่ากับ 8,307 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 28
5.กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม ประกอบด้วยหมวดปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ หมวดวัสดุอุตสาหกรรมและเครื่องจักร หมวดบรรจุภัณฑ์ หมวดกระดาษและวัสดุการพิมพ์ และหมวดยานยนต์ มีกำไรสุทธิ 34,788 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2549 เพียงเล็กน้อยคิดเป็นร้อยละ 0.34
6.กลุ่มธุรกิจการเงิน ประกอบด้วย หมวดธนาคาร หมวดเงินทุนและหลักทรัพย์ และหมวดประกันภัยและประกันชีวิต มีกำไรสุทธิ 18,292 ล้านบาท ลดลงจากปี 2549 คิดเป็นร้อยละ 71
ทั้งนี้ ธนาคารพาณิชย์ 11 แห่ง มีกำไรสุทธิรวม 5,507 ล้านบาท ลดลงจากปี 2549 เท่ากับ 46,924 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 90 โดยมีสาเหตุหลักจากการตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มตามเกณฑ์ใหม่ของธนาคารแห่งประเทศไทยเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานการบัญชีระหว่างประเทศ (IAS 39)
ส่วนบริษัทในหมวดธุรกิจเงินทุนและธุรกิจหลักทรัพย์ (ไม่รวมบริษัทที่ประกอบธุรกิจเช่าซื้อและลีสซิ่ง) 18 บริษัท มีกำไรสุทธิรวม 2,522 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2549 เท่ากับ 21 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.8 เนื่องจากบริษัทเงินทุนมีรายได้ดอกเบี้ยและเงินปันผลรับสุทธิเพิ่มขึ้นร้อยละ 21 บริษัทหลักทรัพย์มีรายได้จากธุรกิจหลักทรัพย์เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.56 โดยทั้งบริษัทเงินทุนและบริษัทหลักทรัพย์มีหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้นจำนวน 509 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 19
สำหรับบริษัทประกันภัย 17 แห่งและประกันชีวิต 1 แห่ง มีกำไรสุทธิรวม 4,230 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 14 เทียบกับปี 2549 ที่มีกำไรสุทธิ 3,701 ล้านบาท เนื่องจากมีกำไรจากการลงทุนเพิ่มขึ้นร้อยละ 36 และมีเบี้ยประกันภัยรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 11
7.กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร ประกอบด้วยหมวดอาหารและเครื่องดื่ม และหมวดธุรกิจการเกษตร มีกำไรสุทธิรวม 10,074 ล้านบาท ลดลงจากปี 2549 เท่ากับ 2,323 ล้านบาทหรือร้อยละ 19
8. กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ประกอบด้วย หมวดของใช้ในครัวเรือน หมวดของใช้ส่วนตัวและเวชภัณฑ์ หมวดแฟชั่น มีกำไรสุทธิ 6,902 ล้านบาท ลดลงจากปี 2549 เท่ากับ 558 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 7
ติดต่อส่วนสื่อมวลชนสัมพันธ์ ฝ่ายสื่อสารองค์กร
ลดาวัลย์ กันทวงศ์ โทร.0-2229—2036 / ศรินทร์ลักษณ์ จิตกะวงศ์ โทร.0-2229—2037/
ณัฐพร บุญประภา โทร. 0-2229 — 2049 / วรรษมน เสาวคนธ์เสถียร โทร. 0-2229-2797