ดร.ก้องเกียรติ เชื่อหุ้นปลายปีแตะ 1,000 จุด แอสเซท พลัส เตรียมออกกองทุนตราสารหนี้ ASP-PREMIER อิงผลตอบแทนดัชนี SET 50 ช่วงขาขึ้นปลายปี

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday March 6, 2008 10:24 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--6 มี.ค.--บลจ.เอเซีย พลัส
ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ ชี้สิ้นปีหุ้นไทยแตะ 1,000 จุด จากการเติบโตของการบริโภคและการลงทุนในประเทศ บลจ.แอสเซท พลัส จับจังหวะเหมาะประมาณ 7-13 มีนาคม นี้ เตรียมเสนอขายกองทุนเปิดแอสเซทพลัสพรีเมียร์ (ASP-PREMIER) ใช้อนุพันธ์สร้างโอกาสของผลตอบแทนตามการปรับตัวของดัชนี SET50
ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) ให้ความเห็นเกี่ยวกับทิศทางการปรับตัวของตลาดหลักทรัพย์ ในการสัมมนา “เศรษฐกิจและแนวโน้มตลาดหุ้น 2551” ที่จัดโดย บลจ.แอสเซท พลัส ว่า จากการคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 2551 คาดว่าจะเติบโตร้อยละ 4.5-5.5% จากการบริโภคและภาคการลงทุนในประเทศที่ฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ โดยการบริโภคจะเติบโตที่ระดับ 4.5% และการลงทุนเติบโตในระดับ 8.5% จากตัวเลขการลงทุน เช่น ดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจ การลงทุนภาคเอกชนแท้จริง และการนำเข้าสินค้าทุนที่ปรับตัวสูงขึ้น สะท้อนแนวโน้มการลงทุนที่ฟื้นตัว เนื่องจากโครงสร้างเศรษฐกิจไทยมีการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนเป็นองค์ประกอบทางเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุด โดยคิดเป็นสัดส่วนรวมกันมากกว่า 80% ของ GDP
นอกจากนี้ ภาวะทางการเมืองที่เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้นจะเป็นส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจอีกทางหนึ่ง จากนโยบายรัฐบาลในการลงทุนตามแผนพัฒนาประเทศมูลค่า 1.59 ล้านล้านบาท ในระยะ 5 ปี ข้างหน้า เช่น การก่อสร้างรถไฟฟ้า พลังงาน และการท่องเที่ยว และมาตรการด้านภาษีเพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยและมาตรการการลดภาษีเงินได้นิติบุคคล การหักลดหย่อนภาษีจากเงินลงทุนในเครื่องจักรอุปกรณ์ การหักค่าเสื่อมราคาได้มากขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสามารถในการการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนขึ้น
การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ปี 2551 จึงได้รับผลดีจากการเติบโตของเศรษฐกิจ และแนวโน้มการลดลงของอัตราดอกเบี้ย ประกอบกับจากการประเมินมูลค่าหุ้นและผลตอบแทนจากการลงทุน ที่มูลค่าหุ้นไทยต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน และมีราคาถูกเมื่อเปรียบเทียบกับภูมิภาคอื่น ในขณะที่อัตราการเติบโตของกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนอยู่ในระดับสูงประมาณ 26-27% ทำให้คาดการณ์ว่าตลาดหลักทรัพย์จะสามารถปรับตัวได้ถึงระดับประมาณ 1,000 จุด
“ในมุมมองส่วนตัว ยังมองว่าตลาดหุ้นไทยจะยังมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกับปีที่แล้ว แต่จะดีกว่าตรงที่ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจในปีนี้เอื้ออำนวยให้มากขึ้น เนื่องจากวัฏจักรการลงทุนจะกลับมาจากการลงทุนภาคเอกชน ซึ่งเป็นปัจจัยหลักในการผลักดันให้ตลาดหลักทรัพย์เติบโต โดยคาดว่าปีนี้ตลาดฯ น่าจะโตในระดับ 20-30% ในปลายปีน่าจะเห็นดัชนีตลาดหลักทรัพย์ประมาณ 1,000 จุด ที่ P/E 14 เท่า” ดร.ก้องเกียรติ กล่าว
สอดคล้องกับ นางลดาวรรณ เจริญรัชต์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แอสเซท พลัส จำกัด ที่ให้ความเห็นว่า ตลาดหลักทรัพย์ในประเทศไทยในปีนี้มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นจากความชัดเจนของนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศของรัฐบาล ทั้งการลงทุนของภาครัฐและเอกชน เช่น โครงการเมกะโปรเจก และการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศที่จะเน้นการเติบโตจากกิจกรรมการผลิตและการลงทุนในประเทศเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากภาวะถดถอยของเศรษฐกิจสหรัฐฯ การปรับลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงที่ผ่านมาช่วยให้ต้นทุนการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนต่ำลง ประกอบกับการลงทุนและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่จะเพิ่มสูงขึ้น การยกเลิกนโยบายสำรองเงิน 30% ที่ทำให้เกิดผลทางจิตวิทยาต่อนักลงทุนต่างประเทศ ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้เกิดความเชื่อมั่นมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้มีเม็ดเงินไหลเข้าในตลาดหลักทรัพย์ เนื่องจากมูลค่าหุ้นและผลตอบแทนจากการลงทุนของตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในระดับต่ำ และการมาตรการด้านภาษี ที่สามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้อีกทางหนึ่ง
“จากการประเมินตลาดหุ้นไทยในปีนี้น่าจะปรับตัวสูงขึ้น บริษัทฯ จึงจับจังหวะการปรับตัวของตลาดหลักทรัพย์ในช่วงปลายปี เพื่อเพิ่มผลตอบแทนของตราสารหนี้ พร้อมกับทำ Protect Downside โดยเสนอขาย “กองทุนเปิดแอสเซทพลัสพรีเมียร์ (ASP-PREMIER)” ซึ่งเป็นกองทุนที่ลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพในประเทศที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับ A- ขึ้นไป อายุประมาณ 9 เดือน และลงทุนในตราสารอนุพันธ์ประเภทออปชั่นที่ให้อัตราผลตอบแทนอ้างอิงกับผลตอบแทนของดัชนี SET50 โดยให้โอกาสผลตอบแทนสูงสุดถึงระดับ 8.96% หากดัชนี SET50 ณ สิ้นเดือนที่ 9 ปรับตัวสูงขึ้นไม่เกิน 25%
ระยะเวลาสั้น ๆ เพียง 9 เดือน เป็นช่วงที่เราสามารถคาดการณ์ทิศทางการปรับตัวของตลาดหลักทรัพย์ได้ค่อนข้างชัดเจน โดยภาพรวมแล้ว หาก SET50 Index ปรับตัวเพิ่มขึ้นเพียงแค่ 8% ผู้ลงทุนก็ได้รับผลตอบแทนประมาณ 3% เท่ากับดอกเบี้ยตราสารหนี้ ซึ่งแนวโน้มที่เรามองคาดว่าตลาดหุ้นจะปรับตัวสูงกว่านั้น
อย่างไรก็ตาม หากผลตอบแทนของ SET50 ณ ราคาปิดวันใดวันหนึ่งในระหว่าง 9 เดือน เพิ่มขึ้นมากกว่า 25% ซึ่งเป็นระดับ Trigger ผลตอบแทนที่ผู้ลงทุนได้รับจะเท่ากับ 4.04% ต่อปี แต่หากผลตอบแทนของ SET50 ณ สิ้นเดือนที่ 9 ไม่เพิ่มขึ้นหรือลดต่ำกว่าวันที่เริ่มลงทุน กองทุนจะ Protect Downside โดยผู้ลงทุนจะได้รับคืนส่วนเงินต้น โดยไม่ได้รับผลตอบแทนเท่านั้น” นางลดาวรรณ กล่าว
นางลดาวรรณ กล่าวเพิ่มเติมว่า “กองทุนเปิดแอสเซทพลัสพรีเมียร์ เหมาะสำหรับผู้ลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ ที่เชื่อว่าแนวโน้มการปรับตัวของตลาดหลักทรัพย์อยู่ในช่วงขาขึ้น และต้องการโอกาสการได้รับผลตอบแทนเพิ่มขึ้นจากแนวโน้มดังกล่าว สำหรับผู้ที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์บริการลูกค้า โทรศัพท์ 02-672-1111” นางลดาวรรณ กล่าว
สรุปข้อมูลกองทุนเปิดแอสเซทพลัสพรีเมียร์ (ASP-Premier)
กองทุนรวมตราสารหนี้ ที่มีอายุโครงการประมาณ 9 เดือนโดยกองทุนมีมูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท มูลค่าขั้นต่ำในการซื้อที่ 5,000 บาท โดยกองทุนมีนโยบายลงทุนในตราสารแห่งหนี้ ตราสารทางการเงิน และ/หรือเงินฝาก โดยอาจจะมีการลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ประเภทออปชั่นส์ (Options) ที่มีตัวแปรอ้างอิงเป็นดัชนี SET50 ซึ่งกองทุนจะมีโอกาสได้รับผลตอบแทนโดยขึ้นอยู่กับการปรับตัวเพิ่มขึ้นของ SET50 Index (ราคาปิดของ SET50 ณ วันที่ลงทุนเทียบกับราคาปิดของ SET50 ณ วันครบกำหนดอายุของตราสารอนุพันธ์)
วันเสนอขาย : เปิดเสนอขายครั้งเดียวประมาณวันที่ 7-13 มีนาคม 2551
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อ
ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ
นิตยา เลิศแสงเพชร โทร. 02-672-1000 ต่อ 3314 อีเมล์: nittaya_le@assetfund.co.th
มุกพิม จุลพงศธร โทร. 02-672-1000 ต่อ 3308 อีเมล์: mookpim_ch@assetfund.co.th

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ