กรุงเทพฯ--6 ก.พ.--เมคอะเว็ลท์ คอนซัลติ้ง
นักลงทุนรุ่นใหม่มองหุ้นไทยภาพกว้างยังเป็นขาลงและ P/E ยังสูง แม้มีการปรับลดดอกเบี้ยลงเหลือเพียง 1% เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ กังวลผลตอบแทนตลาดเงินลดลงตามดอกเบี้ย แนะกระจายลงทุนหุ้นปันผล กอง REIT รวมถึงสินทรัพย์ดิจิทัลที่กำลังมีแนวโน้มขาขึ้น
นายณพวีร์ พุกกะมาน ผู้บริหารส่วนภูมิภาค จีเอ็มไอ เอดจ์ กลุ่มสถาบันการเงินจากประเทศอังกฤษและผู้ก่อตั้ง Creative Investment Space สถาบันให้ความรู้ด้านนวัตรกรรมการลงทุนรูปแบบใหม่ มองว่าการที่ กนง. มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงเหลือ 1% ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดตั้งแต่ประเทศไทยมีการใช้นโยบายทางการเงินจะส่งผลเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทย เนื่องจากถือเป็นยาแรงที่เข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจไทยหลังมีปัจจัยลบใหม่เกิดขึ้นนั่นคือไวรัสโคโรน่า ก่อนหน้านั้นมีปัจจัยเรื่องงบประมาณรายจ่ายที่ล่าช้า รวมถึงเหตุภัยแล้งอยู่แล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นคือ SET Index ปรับตัวขึ้น 14 จุด เมื่อวานนี้ (5 ก.พ. 2563) แต่ความเสี่ยงในตลาดหุ้นไทยยังมีอยู่
"ทั่วไปแล้วการปรับลดดอกเบี้ยจะผลักดันให้ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นได้ทุกครั้งเนื่องจากจะมีสภาพคล่องใหม่เพิ่มเข้ามารวมถึงความเชื่อมั่นที่มากขึ้น แต่ถึงตอนนี้กราฟเทคนิคของ SET Index ยังเป็นขาลง รวมถึง Forward และ Historical P/E ของตลาดหลักทรัพย์ไทย สิ้นเดือนมกราคม 2563 อยู่ที่ระดับ 15.2 เท่า และ 18.4 เท่าตามลำดับ สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์อื่นๆ ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 12.9 เท่า และ 15.4 เท่า แสดงว่าหุ้นไทยยังแพงอยู่แม้จะลงมาเยอะ"
สิ่งที่ตามมาหลังการลดดอกเบี้ยก็คือผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดเงิน เนื่องจากพันธบัตรส่วนใหญ่จะอ้างอิงผลตอบแทนจากดอกเบี้ยนโยบาย รวมถึงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากมีโอกาสปรับตัวลดลงด้วยเช่นกัน ทำให้นักลงทุนควรต้องมีการปรับพอร์ตเพื่อหาสินทรัพย์ที่ยังสร้างผลตอบแทนได้ดี เช่น หุ้นปันผลเพราะตัวเลขจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยระบุว่าอัตราเงินปันผลตอบแทน สิ้นเดือนมกราคม 2563 อยู่ที่ระดับ 3.4% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ 2.9% เป็นทางเลือกของผู้ที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ
นอกจากนี้สินทรัพย์อย่าง กอง REIT ยังน่าสนใจในการลงทุนเพราะไม่ได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำมากนักหากลงทุนในโครงการที่สร้างกระแสเงินสดได้ต่อเนื่อง ขณะที่ทองคำช่วงนี้อาจจะมีการพักตัวบ้าง แต่ภาพรวมทางเทคนิคในระยะกลางถึงยาวยังคงแนวโน้มขาขึ้นอยู่ ช่วงนี้ที่ราคาย่อตัวลงมายังมองเป็นโอกาสในการเข้าลงทุนได้
อีกหนึ่งสินทรัพย์ที่แนะนำให้จับตามองคือสินทรัพย์ดิจิทัล โดยราคาบิทคอยน์ใด้ขยับจากจุดต่ำสุดขึ้นมาในระดับใกล้เคียง 10,000 เหรียญ ซึ่งหากผ่านจุดนี้ไปได้จะแสดงถึงการกลับตัวของราคาที่ชัดเจน รวมถึงเหรียญทางเลือกอื่นๆเช่นกันที่มีแนวโน้มขาขึ้น จึงอยากให้ลองศึกษาการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทนี้ ที่สำคัญคือประเทศไทยมีกฎหมายกำกับดูแลธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลที่ชัดเจน ผู้ลงทุนสามารถไว้วางใจได้
"จากสถิติเก่าระบุว่าปีที่บิทคอยน์มีการทำ Halving หรือการลดซัพพลายในตลาดลง ราคาจะเป็นขาขึ้นทุกครั้ง ซึ่งจะเกิดขึ้นในเดือนพฤษภาคมปีนี้และราคาเริ่มตอบสนองในทางบวกแล้ว แนะนำให้ลองศึกษาการลงทุนรูปแบบนี้เพราะเป็นการลงทุนกับเทคโนโลยีที่กำลังเข้ามาเปลี่ยนอนาคตของโลกการเงิน"