![ดูแลครรภ์คุณแม่ด้วยวิธี MFM เริ่มตั้งแต่วันแรก...จนคลอดลูกน้อย]()
กรุงเทพฯ--12 ก.พ.--แมสคอท คอมมิวนิเคชั่น
ช่วงเวลาของการตั้งครรภ์คือช่วงเวลาที่คุณแม่ตั้งครรภ์และ
ทารกในครรภ์ต้องได้รับการดูแลอย่างถูกต้อง การได้รับการดูแลโดยแพทย์ที่มีความชำนาญด้านเวชศาสตร์มารดาและ
ทารกในครรภ์ (MFM) จึงมีความสำคัญ เพื่อการดูแลแบบเชิงลึก ให้คุณแม่ตั้งครรภ์มีสุขภาพที่แข็งแรงและ
ทารกในครรภ์ลืมตาดูโลกอย่างราบรื่น พร้อมจะเติบโตอย่างมีคุณภาพในอนาคต
นายแพทย์ร่มไทร เลิศเพียรพิทยกุล สูติ - นรีเวช ศูนย์สุขภาพสตรี โรงพยาบาลกรุงเทพ กล่าวว่า วิธีการดูแลแม่ตั้งครรภ์แบบ Maternal Fetal Medicine (MFM) คือ การดูแลโดยแพทย์ที่มีความชำนาญด้านเวชศาสตร์มารดาและ
ทารกในครรภ์ โดยมีการต่อยอดหลังจากจบการฝึกอบรมสูติศาสตร์นรีเวชวิทยา เป็นการดูแลมารดาตั้งครรภ์และ
ทารกในครรภ์แบบเชิงลึก เพื่อตรวจหาความเสี่ยง อัลตราซาวนด์ดูความสมบูรณ์ของ
ทารก ประเมินการรักษา ป้องกันความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้น ตลอดจนให้คำปรึกษาและคำแนะนำอย่างใกล้ชิดตลอดการตั้งครรภ์ เพื่อให้คุณแม่และเจ้าตัวน้อยมีสุขภาพที่แข็งแรง
หน้าที่หลักของแพทย์ด้านเวชศาสตร์มารดาและ
ทารกในครรภ์ Maternal Fetal Medicine(MFM) ได้แก่ 1.การดูแลให้คำปรึกษาตั้งแต่เตรียมตัวก่อนตั้งครรภ์ ระหว่างฝากครรภ์ ช่วงเวลาคลอด และหลังคลอด 2.ดูแลและรับฝากครรภ์ในคุณแม่ตั้งครรภ์ที่มีความเสี่ยงสูง 3.แนะนำและให้คำปรึกษาเมื่อสงสัยหรือตรวจพบว่า
ทารกในครรภ์มีภาวะผิดปกติ 4.ตรวจอัลตราซาวนด์เพื่อประเมินสุขภาพของ
ทารกในครรภ์และหาความพิการของ
ทารกในครรภ์ 5.ตรวจคัดกรองและวินิจฉัยความผิดปกติของ
ทารกในครรภ์ 6.รักษา
ทารกในครรภ์ที่มีความผิดปกติตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา ได้แก่
ทารกบวมน้ำ หัวใจเต้นผิดจังหวะ เป็นต้น 7.ตรวจความผิดปกติทางพันธุกรรมของ
ทารกในครรภ์มารดา ได้แก่ การเจาะน้ำคร่ำ การเจาะชิ้นเนื้อรก การเจาะเลือดสายสะดือ
ทารก เป็นต้น 8.ดูแลการทำคลอดและหลังการคลอดบุตร 9.ยุติการตั้งครรภ์ตามข้อบ่งชี้การแพทย์
โดยคุณแม่ตั้งครรภ์ที่ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษคือ คุณแม่ที่มีครรภ์เสี่ยงสูง ได้แก่ 1.คุณแม่อายุมากกว่า 35 ปี 2.อายุน้อยกว่า 18 ปี 3.คุณแม่ครรภ์แฝด โดยเฉพาะแฝดที่เกิดจากไข่ใบเดียวกันจะเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนหลายอย่าง เช่น
ทารกมีการถ่ายเทเลือดระหว่างกัน
ทารกเติบโตขนาดไม่เท่ากัน เป็นต้น 4.คุณแม่ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคแพ้ภูมิตัวเอง โรคไต ลมชัก โรคหอบหืด โรคมะเร็ง 5.คุณแม่ที่มีหมู่เลือดผิดปกติ คือ Rh negative ที่มี isoimmunization 6.คุณแม่ติดเชื้อต่าง ๆ เช่น ไวรัสตับอักเสบ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ฯลฯ 7.คุณแม่ที่มีประวัติรับยาหรือสารเคมีที่อาจส่งผลต่อ
ทารกในครรภ์ 8.คุณแม่ที่มีภาวะปากมดลูกสั้น 9.คุณแม่ที่มีภาวะแท้งคุกคาม แท้งบ่อย รกเกาะต่ำ 10.คุณแม่ที่เคยคลอดบุตรก่อนกำหนด 11.คุณแม่ที่เคยคลอด
ทารกเจริญเติบโตช้าในครรภ์ 12.คุณแม่ที่เคยคลอด
ทารกแรกเกิดน้ำหนักน้อย คลอด
ทารกตัวเล็กกว่าปกติ (IUGR)13.คุณแม่ที่คลอดบุตรมีความพิการแต่กำเนิด 14.คุณแม่ที่มีโรคทางพันธุกรรม เช่น ธาลัสซีเมีย 15.คุณแม่ครรภ์เป็นพิษ
คุณแม่ตั้งครรภ์ควรตรวจคัดกรองด้วยการอัลตราซาวนด์กับแพทย์ที่มีความชำนาญด้านเวชศาสตร์มารดาและ
ทารกในครรภ์ อย่างน้อย 3 ครั้ง ได้แก่ ครั้งที่ 1(สัปดาห์ที่ 11 – 14) ตรวจเพื่อดูพัฒนาการของ
ทารก หากพบความผิดปกติสามารถหาทางแก้ปัญหาได้โดยเร็ว ช่วยลดความรุนแรงที่จะเกิดขึ้น ครั้งที่ 2(สัปดาห์ที่ 18 – 23) ตรวจเพื่อค้นหาความผิดปกติของโครงสร้าง
ทารก หากไม่พบความผิดปกติในช่วงนี้ค่อนข้างมั่นใจได้ว่า
ทารกแข็งแรง โดยจะมีการตรวจรก เนื้องอก ความผิดปกติภายในมดลูก วัดความยาวของปากมดลูกเพื่อตรวจเช็กความเสี่ยงในการคลอดก่อนกำหนดของแม่ตั้งครรภ์ด้วย ครั้งที่ 3(สัปดาห์ที่ 32 – 36) ตรวจเพื่อดูการเจริญเติบโตของ
ทารกในครรภ์ ตำแหน่งรก ปริมาณน้ำคร่ำ ความผิดปกติบางอย่างอาจพบเจอในช่วงท้ายของการตั้งครรภ์แม้โอกาสที่เกิดขึ้นจะไม่มากนัก
ดังนั้น การดูแลแม่ตั้งครรภ์และ
ทารกในครรภ์กับแพทย์ที่มีความชำนาญทางด้านเวชศาสตร์มารดาและ
ทารกในครรภ์ (MFM) เป็นสิ่งสำคัญ ในคุณแม่ตั้งครรภ์ที่มีความเสี่ยงสูงจะช่วยให้สามารถดูแลตนเองและลูกน้อยได้อย่างถูกต้อง อีกทั้งยังสามารถแก้ปัญหาความผิดปกติได้ทันท่วงที นอกจากนี้คุณแม่ตั้งครรภ์ควรใส่ใจดูแลสุขภาพให้แข็งแรง เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายเบาๆ เลี่ยงการเอกซเรย์ สารเคมี ควัน และยาที่อาจมีผลกับการตั้งครรภ์ ที่สำคัญควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
![]()