กรุงเทพฯ--19 ก.พ.--บีซีพีจี
บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อย ประกาศผลการดำเนินงานประจำปี 2562 มีกำไรจากการดำเนินงานปกติ จำนวน 1,726 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 2.2 ขณะที่ไตรมาสที่ 4/2562 มีกำไรจากการดำเนินงานปกติ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 6.2 มาจากสภาวะอากาศที่ปลอดโปร่งในประเทศไทย และการรับรู้ผลประกอบการของ 3 โครงการใหม่ พร้อมประกาศจ่ายเงินปันผลสำหรับผลประกอบการในไตรมาสที่ 4 ของปี 2562 ในอัตราหุ้นละ 0.16 บาทต่อหุ้น รวมจ่ายเงินปันผลทั้งปีในอัตราหุ้นละ 0.64 บาท คิดเป็นเงินปันผลรวมทั้งสิ้นประมาณ 1,279 ล้านบาท
นายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าภาพรวมธุรกิจใน ปี 2562 บริษัทฯ ยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีรายได้รวมทั้งปีอยู่ที่ 3,427ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2561 ร้อยละ 3.2 โดยในประเทศไทย บริษัทฯ มีรายได้จากการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์อยู่ที่ 2,994 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2561 ร้อยละ 4.8 สาเหตุหลักมาจากสภาพอากาศที่ปลอดโปร่ง ช่วยเอื้อต่อการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ประกอบกับการรับรู้รายได้เต็มปีของโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก ในพระบรมราชูปถัมภ์ จำนวน 2 โครงการ ในอำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี
กำลังการผลิตตามสัญญา 3.9 เมกะวัตต์ และอำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี กำลังการผลิตตามสัญญา 5 เมกะวัตต์ รวมทั้งการรับรู้รายได้จากโครงการที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ใหม่ โครงการโซลาร์ลอยน้ำเอกชนบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา กำลังการผลิตตามสัญญา 2.1 เมกะวัตต์ ซึ่งได้เริ่มจำหน่ายไฟฟ้าให้กับ บริษัท บางจากไบโอฟูเอล จำกัด ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ที่ผ่านมา นอกจากนี้ ยังมีรายได้จากการดำเนินงานของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม "ลมลิกอร์" จังหวัดนครศรีธรรมราช กำลังการผลิตตามสัญญา 9 เมกะวัตต์ อยู่ที่ 63 ล้านบาท ซึ่งเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์เมื่อเดือนเมษายน ที่ผ่านมา
ในปี 2562 บริษัทฯ ยังได้เดินหน้าขยายธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด เข้าซื้อโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำ Nam San 3A ในเมืองเชียงขวาง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญา 69 เมกะวัตต์ และมีรายได้จากการดำเนินงานของโครงการอยู่ที่ 148 ล้านบาท นับตั้งแต่การเข้าซื้อเมื่อเดือนกันยายน ที่ผ่านมา
สำหรับการลงทุนในประเทศฟิลิปปินส์ บริษัทฯ มีการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการดำเนินงานโรงไฟฟ้าพลังงานลม (ก่อนการหัก amortization) อยู่ที่ 59 ล้านบาท ลดลงจากปี 2561 ร้อยละ 19.1 มีสาเหตุหลักมาจากกำลังลมโดยเฉลี่ยที่ลดลง ประกอบกับการปิดซ่อมบำรุงสายส่งที่ได้รับความเสียหายจากพายุไต้ฝุ่น ส่งผลให้ค่าเฉลี่ยชั่วโมงในการผลิตไฟฟ้าต่อวัน (Capacity Factor) ลดลงจากร้อยละ 37.1 เป็นร้อยละ 35.5 ในปี 2562 และทำให้ปริมาณการผลิตไฟฟ้าทั้งปี 2562 ลดลงที่ร้อยละ 4.3 เป็น 45 ล้านหน่วย
ในขณะที่ประเทศอินโดนีเซีย ในปี 2562 บริษัทฯ มีส่วนแบ่งกำไรจากการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าความร้อนใต้พิภพ (ก่อนการหัก amortization) ลดลงจากปีก่อนหน้าเล็กน้อยเป็นร้อยละ 5 หรืออยู่ที่ 723ล้านบาท สอดคล้องกับค่าเฉลี่ยชั่วโมงในการผลิตไฟฟ้าต่อวัน (Capacity Factor) ที่ลดลงจากร้อยละ 93.9 เป็นร้อยละ 92.4 เนื่องด้วยการปิดซ่อมบำรุงโครงการตามแผนงาน
ทั้งนี้ ในปี 2562 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติที่ไม่รวมกำไร/(ขาดทุน) จากอัตราแลกเปลี่ยนและรายการพิเศษ จำนวน 430.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากทั้งไตรมาสที่ 4/2561 และไตรมาสที่ 3/2562 ที่ 25.3 และ 20.7 ล้านบาท หรือร้อยละ 6.2 และ 5.1 ตามลำดับ โดยมีสาเหตุหลักมาจากสภาวะอากาศที่ปลอดโปร่งในประเทศไทย และการรับรู้ผลประกอบการของโครงการใหม่ๆ ข้างต้น
ณ สิ้นปี 2562 สินทรัพย์รวมอยู่ที่ 37,137 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2561 ร้อยละ 17.7 ส่วนหนี้สินรวมอยู่ที่ 21,581 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 31.5 จากการเพิ่มขึ้นของหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยร้อยละ 27.7 โดยการเพิ่มขึ้นของสินทรัพย์ และหนี้สินดังกล่าว มีสาเหตุหลักจากการเข้าซื้อโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำ Nam San 3A ในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
สำหรับในปี 2563 นี้ บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจพลังงานหมุนเวียนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศ CLMV โดยล่าสุด บริษัทฯ ได้เข้าลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำ แห่งที่ 2 ขนาดกำลังการผลิตตามสัญญา 45 เมกะวัตต์ ในเมืองเชียงขวาง สาธารณรัฐประชาธิปไตย
ประชาชนลาว พร้อมทั้งร่วมลงทุนกับพันธมิตรก่อสร้างและดำเนินกิจการระบบสายส่งกระแสไฟฟ้าไปยังเวียดนาม รองรับการขายไฟให้การไฟฟ้าเวียดนามขนาด 500 เมกะวัตต์ ในอนาคต นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังให้ความสำคัญกับการให้บริการการจัดการด้านพลังงานหรือ energy as a service นำนวัตกรรมมาใช้ในธุรกิจเพื่อเพิ่มทางเลือกให้ผู้บริโภคสามารถผลิตพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้ด้วยตัวเองและประหยัดค่าใช้จ่าย โดยได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พัฒนาโครงการมหาวิทยาลัยอัจฉริยะพลังงานสะอาด (Smart University) ติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนพื้นที่หลังคา กำลังการผลิตรวม 12 เมกะวัตต์ พร้อมนำเทคโนโลยีระดับโลก อาทิ บล็อกเชน AI และ IoT มาช่วยบริหารจัดการการผลิตและการใช้ไฟฟ้าภายในโครงการให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยคาดว่าจะเริ่มเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในครึ่งปีหลังของปี 2563
ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2563 ได้มีมติเห็นชอบให้นำเสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2563 เพื่อพิจารณาอนุมัติการจ่ายเงินปันผลจากกำไรสุทธิ สำหรับผลการดำเนินงานงวดวันที่ 1 ตุลาคม - 31 ธันวาคม 2562 หรือไตรมาสที่ 4 ของปี 2562 ให้แก่ผู้ถือหุ้น ในอัตราหุ้นละ 0.16 บาท และเมื่อรวมกับเงินปันผลระหว่างกาลงวดวันที่ 1 มกราคม – 30 กันยายน 2562 ที่ได้จ่ายไปแล้ว ในอัตราหุ้นละ 0.48 บาท จะเป็นเงินปันผลที่จ่ายในปี 2562 รวมอัตราหุ้นละ 0.64 บาท คิดเป็นเงินรวมประมาณ 1,279 ล้านบาท
โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 4 มีนาคม 2563 และ กำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 23 เมษายน 2563 ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯ จะขึ้นเครื่องหมาย XD (Exclude Dividend) ในวันที่ 3 มีนาคม 2563 และกำหนดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2563 ในวันที่ 9 เมษายน 2563 เวลา 13.30 น. ณ อาคารเอ็มทาวเวอร์ ถนนสุขุมวิท