“CRC” ได้ฤกษ์เข้าเทรดวันแรก กระตุ้นตลาดหุ้นไทยคึกคัก สร้างความมั่นใจ ให้นักลงทุนไทยและต่างประเทศ ด้วยหุ้นค้าปลีกพื้นฐานที่แข็งแกร่ง และมีศักยภาพในการเติบโตอย่างมั่นคง

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday February 20, 2020 15:41 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--20 ก.พ.--โอกิลวี่ กรุ๊ป บมจ. เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น (CRC) ผู้นำในธุรกิจค้าปลีกทั้งในประเทศและต่างประเทศ เปิดการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลาดหลักทรัพย์ฯ) เป็นวันแรก ขึ้นแท่นเป็นหุ้นไอพีโอที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ และยังเป็นหุ้นไอพีโอของกลุ่มธุรกิจค้าปลีกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก โดยมีมูลค่าเสนอขายรวม 78,124 ล้านบาท (รวมมูลค่าหุ้นที่เสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นของ ROBINS ที่ตอบรับคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ และการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน) และมีมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO ที่ประมาณ 253,302 ล้านบาท (ไม่รวมการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน) ส่งผลให้ CRC จะเป็นหุ้นที่มีขนาดใหญ่ที่สุด 15 ลำดับแรกของตลาดหลักทรัพย์ฯ รวมทั้งจะได้รับการจัดให้เข้าไปรวมอยู่ในดัชนี SET50 และ MSCI Global Standard Indexes ด้วยเกณฑ์ Fast-track พร้อมต่อยอดความสำเร็จหลังการเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ด้วยการเสริมศักยภาพ Customer-Centric Omni-Channel ที่สามารถสร้างรายได้จากทุกที่ทุกเวลาทั่วทุกมุมโลก พร้อมโอกาสการเติบโตจากแผนการขยายและปรับปรุงสาขาของธุรกิจ ในกลุ่ม CRC อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน นายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า "ก่อนจะถึงวันนี้ เราได้มีการเตรียมพร้อมและได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากกลุ่มเซ็นทรัล ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจของพวกเราทุกคนที่ได้นำเสนอขายหุ้นไอพีโอที่มูลค่าสูงสุดของตลาดหลักทรัพย์ฯ อีกทั้งยังเป็นหุ้นไอพีโอในกลุ่มธุรกิจค้าปลีกที่มีมูลค่าเสนอขายสูงสุดเป็นอันดับ 2 ของโลก ได้เป็นผลสำเร็จ จากความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มองข้ามผลกระทบต่อสภาวะของตลาดหุ้นในระยะสั้น เพราะเชื่อมั่นในโอกาสเติบโตในระยะยาวจากปัจจัยพื้นฐานที่มั่นคงและแข็งแกร่งของบริษัท ที่พร้อมจะผลักดันการเติบโตทั้งแบบ Organic ผ่านการขยายและปรับปรุงสาขาของแบรนด์ค้าปลีกชั้นนำในเครือทั้งในประเทศไทย รวมทั้งในประเทศเวียดนามและอิตาลี ซึ่งมีแผนการและเป้าหมายการเพิ่มจำนวนร้านค้าที่ชัดเจน นอกจากนี้ การไอพีโอที่ผ่านมาทำให้ CRC มีความพร้อมทุกเมื่อสำหรับการแสวงหาโอกาสในการขยายธุรกิจค้าปลีกในรูปแบบ Inorganic หากมีโอกาสควบรวมกิจการหรือเข้าซื้อกิจการที่น่าสนใจทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ภายใต้การลงทุนอย่างรอบคอบและมีวินัย เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจค้าปลีกไทย ส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม รวมทั้งสร้างผลตอบแทนที่น่าพึงพอใจให้กับนักลงทุน" การนำเสนอขายหุ้นไอพีโอของ CRC ที่ผ่านมา นับได้ว่าเป็นการสร้างสถิติใหม่ให้กับตลาดหุ้นทั้งในประเทศและในระดับโลกถึง 4 สถิติ ทั้งการเป็นหุ้น IPO ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ตลาดหุ้นไทย ด้วยมูลค่าเสนอขายที่สูงที่สุดของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พร้อมทั้งยังเป็นไอพีโอในกลุ่มค้าปลีกที่มีมูลค่าเสนอขายสูงสุดเป็นอันดับ 2 ของโลก ซึ่งเมื่อพิจารณาจากมูลค่าตลาดรวมที่ราคาเสนอขายสุดท้ายแล้ว ทำให้ 'CRC' มีโอกาสที่จะได้จัดอยู่ในหุ้นที่มีขนาดใหญ่ที่สุด 15 ลำดับแรกของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยภายใน 3 วันหลังเริ่มทำการซื้อขาย นอกจากนี้ CRC ยังได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั่วโลก โดยเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2563 ทางบริษัท ได้ต้อนรับนักลงทุนและประชาชน 1,400 คน ที่มาร่วมรับฟังการบรรยายสรุปการเสนอขายหุ้น CRC ซึ่งถือเป็นการทุบสถิติจำนวนคนที่เข้าร่วมฟังมากที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย นายญนน์ กล่าวเพิ่มเติมถึงโอกาสเติบโตว่า "เรามั่นใจว่านักลงทุนที่เชื่อมั่นในศักยภาพและร่วมเป็นเจ้าของ CRC จะได้เติบโตไปกับแพลตฟอร์มค้าปลีกแห่งอนาคตของเรา ที่ไม่ใช่มีเฉพาะแค่หน้าร้าน ไม่ได้มีเฉพาะ E-Commerce แต่เป็นการผนวกจุดเด่นจากทุกช่องทางทั้งออฟไลน์และออนไลน์ มายกระดับขีดความสามารถในการทำธุรกิจค้าปลีกในยุคปัจจุบันผ่าน Customer-Centric Omni-Channel ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มค้าปลีกที่สามารถสร้างรายได้จากทุกที่ ทุกเวลา พร้อมกับมอบประสบการณ์ที่ดีกว่า สะดวกกว่า เข้าถึงตัวเลือกสินค้าที่น่าเชื่อถือได้หลากหลายกว่า พร้อมจับต้องสินค้าได้จริง จนได้รับความนิยมจากลูกค้าดั้งเดิมของเซ็นทรัล รีเทล รวมทั้งได้ลูกค้ารายใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง และมีบทพิสูจน์การเติบโตอย่างก้าวกระโดด เห็นได้จากแคมเปญล่าสุดของเรา ทั้ง 11.11 และ 12.12 mega sale เมื่อปลายปี 2562 ที่สร้างยอดขายเพิ่มขึ้นจากปี 2561 ถึง 2 เท่า ซึ่งช่องทาง Omni-Channel นับได้ว่ายังมีช่องว่างการเติบโต อีกมากในอนาคต" ภายหลังจากการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ตระกูลจิราธิวัฒน์ จะยังคงถือหุ้นใน CRC ด้วยสัดส่วนกว่า 70% (ภายใต้สมมติฐานว่าจะมีการใช้สิทธิซื้อหุ้นส่วนเกินทั้งจำนวน) สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของผู้ก่อตั้งที่จะยังเป็นส่วนสำคัญในการผลักดันการเติบโตของบริษัท ผ่านการบริหารจัดการของทีมผู้บริหารมืออาชีพที่มีประสบการณ์ โดยบริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิจากงบการเงินรวม หลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคล และภายหลังการจัดสรรทุนสำรองตามกฎหมาย ทั้งนี้ อาจพิจารณาจ่ายเงินปันผลแตกต่างไปจากนโยบายที่กำหนดไว้ได้ ชึ้นอยู่กับผลประกอบการ สภาพคล่องทางการเงิน และความจำเป็นในการใช้เงินทุนหมุนเวียนเพื่อบริหารกิจการ และแผนการขยายธุรกิจในอนาคต รวมถึงภาวะเศรษฐกิจ ผู้ลงทุนและผู้สนใจ โปรดดูรายละเอียดจากหนังสือชี้ชวนของบริษัทที่เว็บไซต์ของสำนักงาน ก.ล.ต. ที่ www.sec.or.th และข้อมูลทั่วไปของบริษัทที่ www.centralretail.com และที่ www.set.or.th

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ