กรุงเทพฯ--21 ก.พ.--แองเจิล เรียลเอสเตท
"แองเจิล เรียลเอสเตท" โบรกเกอร์โควต้าต่างชาติเบอร์หนึ่งเมืองไทย เผยอสังหาฯระส่ำต่อเนื่อง ล่าสุด"ไวรัส โควิด-19"ฉุดลูกค้าจีนหดตัวซ้ำหวั่นอาจทิ้งดาวน์ ทิ้งโอนเพิ่ม เผยแผนบุกตลาดตุรกี-ญี่ปุ่น ผลตอบรับดีต่อเนื่อง ชี้ช่อง"Blue Ocean"คอนโดฯปรับไซส์ ปรับราคาฝ่าวิกฤต พร้อมแนะกลยุทธ์ "Leasehold" ตลาดบ้านพร้อมที่ดิน เจาะกลุ่มเป้าหมายขนาดใหญ่ขึ้น ตั้งเป้าปี63 โกยรายได้เฉียดหมื่นล้าน พร้อมแตกไลน์ไทยโควต้า และ เจาะกลุ่มทุนอุตสหกรรม
นายไซม่อน ลี ( Simon Lee ) ประธานกรรมการบริษัท แองเจิล เรียลเอสเตท คอนซัลแทนซี่ จำกัด (Angel Real Estate Consultancy Co.,Ltd. หรือ ARE) บริษัทที่ปรึกษาด้านการตลาดและขายชั้นนำของประเทศไทย โดยเฉพาะโควตาต่างประเทศ ( Foreign Quota ) โบรกเกอร์รายใหญ่ที่ทำตลาดในภูมิภาคเอเชีย เปิดเผยถึงสถานการณ์ตลาดของกลุ่มลูกค้าต่างประเทศที่เข้ามาซื้อโครงการคอนโดมิเนียมในไทยว่า สถานการณ์ในปี 2563 (2020) คาดว่ากลุ่มผู้ซื้อจากประเทศจีนจะยังชะลอตัวลดลงต่อเนื่องจากปี 2562 (2019) ซึ่งเป็นผลจากข้อพิพาทเรื่องการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับประเทศจีน (เทรดวอร์) ได้ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลก ทำให้ระบบการเงิน (ไฟแนนซ์) ประสบปัญหาเช่นกัน และกฎเกณฑ์ LTV ทำให้ผู้ลงทุนหรือลูกค้า ชะลอการตัดสินใจซื้ออสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย
ประกอบกับช่วงเดือนมกราคม 2563 ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ได้เกิดเหตุการณ์การแพร่ระบาดของ "เชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019(โควิด-19)" ที่เมืองอู่ฮั่น เมืองหลวงของมณฑลหูเป่ย ประเทศจีน มีผลกระทบในหลายด้าน เพราะเราถูกประเทศจีนปิดเมือง ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ เนื่องจากโครงสร้างลูกค้าหลักของบริษัทแองเจิลฯ ประมาณ 50% มาจากจีน รองลงมา 40% มาจากประเทศโซนเอเชีย และอีก 10% มาจากทวีปยุโรป
ทำให้ต้องปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ได้แก่ การขยายตลาดจากประเทศไทย ไปสู่กลุ่มการเพิ่มฐานลูกค้าในประเทศอื่นที่มีศักยภาพ ไม่ว่าจะเป็นการ สร้างพอร์ตธุรกิจในประเทศญี่ปุ่น, มาเลเซีย, บรูไน และประเทศตุรกี โดยแต่ละประเทศจะทำการตลาดที่แตกต่างกัน
สำหรับประเทศตุรกี ทางบริษัทแองเจิลฯ จะเน้นทำตลาดมากขึ้น เนื่องจากเป็นประเทศที่ให้สิทธิประโยชน์ เรื่อง ได้รับหนังสือเดินทาง (พาสปอร์ต) ฟรี แก่ผู้เข้ามาลงทุนหรือซื้ออสังหาริมทรัพย์ในตุรกี โดย แองเจิลฯจะเข้าไปทำตลาดกับลูกค้าในประเทศบรูไน พม่า ฮ่องกง และจีน ที่ต้องการได้สิทธิพลเมือง เพราะการเข้ามาลงทุนซื้ออสังหาฯตั้งแต่ 250,000 เหรียญสหรัฐฯ จะได้ถือพาสปอร์ตเพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางไปต่างประเทศได้ ซึ่งบริษัทฯได้เข้าเจาะกลุ่มดีมานด์ดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีผลงานการขายแล้ว 30-40 ยูนิต
"เรามองว่า กลุ่มลูกค้าต่างชาติ ที่ต้องการได้พาสปอร์ตนั้น เป็นตลาดที่ใหญ่มาก อย่างที่ประเทศบรูไน คึกคักมาก คนจีนที่เกิดในประเทศบรูไน ไม่มีพาสปอร์ตประมาณ 14,000 คน ซึ่งเราจะมีลูกค้ารายแรกที่ได้รับหนังสือเดินทาง รวมถึงชาวมุสลิมในประเทศสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา เช่นเดียวกับนักธุรกิจในประเทศฮ่องกง หากเข้าไปลงทุนในประเทศอังกฤษ หากจะได้รับพาสปอร์ตจะต้องลงทุนประมาณ 20 ล้านดอลลาร์ฮ่องกงซึ่งจะได้รับวีซ่า แต่ถ้าถือพาสปอร์ตประเทศ ตุรกีไปอังกฤษ ใช้เงินเพียง 2 ล้านเหรียญฮ่องกงเท่านั้น"
นายไซม่อน กล่าวว่า แม้ขณะนี้ ภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียมในไทย จะได้รับผลกระทบเพิ่มเติมจากเชื้อไวรัสโควิด19 ที่เกิดขึ้น ซึ่งทำให้แย่เข้าไปอีก ลูกค้าจีนหายไป แต่การที่ประเทศไทยยังเปิดรับนักท่องเที่ยวจากจีน ไม่ปิดกั้นเหมือนบางประเทศ ทำให้คนจีนยิ่งประทับใจความเป็นบ้านพี่เมืองน้อง ซึ่งเมื่อเหตุการณ์ไวรัสโควิด-19จบสิ้นแล้ว จากข้อมูลที่ได้รับมา คนจีนหรือแม้แต่ชาวสิงคโปร์ เริ่มมองและต้องการมีบ้านหลังที่สองในไทย เพื่อรองรับครอบครัวของตนเองที่จะเข้ามาพักผ่อนในกรณีเกิดเหตุการณ์ที่ไม่ปกติ และเป็นโอกาสดีที่บริษัทจะเข้าไปขยายตลาด ในกลุ่มลูกค้าที่ต้องการมีบ้านในไทย ในรูปแบบสัญญาเช่าระยะยาว (ลีสโฮลด์) 30 ปี ขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจากับบริษัทอสังหาริมทรัพย์หลายแห่ง แต่ไม่สามารถเปิดเผยรายชื่อ หรือรายละเอียดทั้งหมดได้ รวมทั้งมีแผนหันมาทำตลาดกับกลุ่มลูกค้าคนไทยมากขึ้น ( Thai Quota) หากราคาขายห้องชุดปรับลดลงมากกว่านี้ ก็จะเหมาะกับตลาดลูกค้ากลุ่มคนไทยได้
นอกจากนี้ ตนได้ขยายธุรกิจใหม่ เป็นนายหน้าเจรจากับเจ้าของธุรกิจหรือเจ้าของโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆย้ายฐานการผลิตมาประเทศไทย เนื่องจากโรงงานต่างๆไม่ว่าจะเป็นบริษัทจีน ญี่ปุ่น และไต้หวัน ที่มีโรงงานอยู่ในประเทศจีน จะเจออุปสรรคในเรื่องของเทรดวอร์ เนื่องจากสหรัฐฯมีมาตรการเรื่องกำแพงภาษีสูงถึง 20% ขณะที่พื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรมในไทยยังมีจำนวนมาก เพียงพอรองรับการย้ายฐานการผลิตจากต่างประเทศได้จำนวนมาก
สำหรับสถานการณ์ตลาดคอนโดมิเนียมในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑลในปี 2563 (2020) นั้น คงต้องใช้เวลาอีกสักระยะในการกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง เนื่องจากความต้องการ(ดีมานด์)ไม่มี ราคาขายคอนโดมิเนียมปรับสูงขึ้นมาก (Over Price) และอุปทาน (สต๊อก) ในตลาดยังมีปริมาณมาก (Over Stock) คาดว่ามีซัพพลายคงค้างในตลาดไม่ต่ำกว่า 200,000 หน่วย ใช้เวลาระบายออกประมาณ 2 ปี เนื่องจากสภาพตลาดและเศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวย
สรุปแผนธุรกิจของบริษัทแองเจิลฯในปี 2563 ได้วางแผนเปิดตัวทีมงานไทยโควต้าเพื่อรองรับลูกค้าที่ใช้บริการโควต้าต่างชาติไว้แล้ว แต่โควต้าไทยยังขายไม่หมด ซึ่งปัจจุบันมีติดต่อเข้ามาแล้วหลายบริษัท เจาะลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรม เพิ่มตลาดต่างชาตินอกเหนือจากประเทศจีน
สำหรับวางเป้ายอดขายคอนโดมิเนียมภายในประเทศไทยประมาณ 900-1,200 ยูนิต มูลค่าการขาย 4,000-5,000 ล้านบาท ราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ 2-5 ล้านบาท มีโครงการทั้งในทำเลสุขุมวิท, พระราม9 และเส้นจรัญสนิทวงศ์ 70 เป็นต้น โดยบริษัทจะทำตลาดในพื้นที่กรุงเทพฯ จังหวัดเชียงใหม่ และเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี อย่างไรก็ตาม หากกลยุทธ์ในการขยายตลาดในธุรกิจใหม่ๆประสบความสำเร็จทั้งในประเทศ และรวมกับจากต่างประเทศ ก็คาดว่าในปีนี้ทั้งกลุ่มจะมียอดขาย 8,000-9,000 ล้านบาท.