กรุงเทพฯ--25 ก.พ.--มหาวิทยาลัยศรีปทุม
มหาวิทยาลัยศรีปทุม ยืนหนึ่งเรื่อง "เรียนกับตัวจริง ประสบการณ์จริง" รุดจับมือ Big Camera และ 7 แบรนด์ดีไซน์ชั้นนำระดับประเทศ สร้างนักศึกษามือโปร รองรับตลาดอุตสาหกรรมสร้างสรรค์และการสร้างนวัตกรรมเชิงผลิตภัณฑ์ ตอบรับกระแสตลาดโตทะลุ 1 ล้านล้านบาท พร้อมเปิดตัว "ต้นแบบเรือนไม้ประหยัดพลังงาน - Japanese Tea Pavilion" ภายใต้รูปแบบการก่อสร้างและการเข้าไม้ที่เป็นเอกลักษณ์ ผสานเข้ากับศาสตร์และนวัตกรรมลดใช้พลังงาน ตอบโจทย์รูปแบบการก่อสร้างและธุรกิจยั่งยืนในอนาคต ภายใต้ความร่วมมือครั้งสำคัญกับเครือข่ายมหาวิทยาลัยประเทศญี่ปุ่น ผ่านการจัดตั้ง Wood training center ฝึกอบรม"ทักษะช่างไม้ในงานก่อสร้างแบบญี่ปุ่น" ทั้งรูปแบบหลักสูตรระยะสั้นและระยะยาว Dual Degree เพิ่มโอกาสนักศึกษาสถาปัตยกรรมศาสตร์ ต่อยอดองค์ความรู้และขยายสู่เส้นทางวิชาชีพ โอกาสร่วมงานกับบริษัทออกแบบและก่อสร้าง ไทย – ญี่ปุ่น
ดร.รัชนีพร พุคยาภรณ์ พุกกะมาน อธิการบดีมหาวิทยาลัยศรีปทุม เปิดเผยว่า ในโอกาสครบรอบ 50 ปี มหาวิทยาลัยศรีปทุม ได้เดินหน้าขยายเครือข่ายความร่วมมือทางวิชาการ ระหว่างมหาวิทยาลัยกับผู้ประกอบการภาคธุรกิจชั้นแนวหน้าระดับประเทศ ที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญด้านต่างๆ ร่วมกันพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอน "เรียนกับตัวจริง ประสบการณ์จริง" โดยล่าสุดคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ได้จับมือกับ บริษัท Big Camera และ 7 แบรนด์ดีไซน์ชั้นนำระดับประเทศ ประกอบด้วย Deesawat, Divana, Labrador, Bathroom Design, Mobella, Masaya และ Greyhound มุ่งสู่ความก้าวหน้าของรูปแบบการศึกษายุคใหม่ ที่เน้นองค์ความรู้ควบคู่ไปกับการฝึกปฏิบัติจริง ซึ่งจะก่อให้เกิดการพัฒนากิจกรรมสร้างสรรค์ ทั้งเชิงวิชาการและวิชาชีพด้านการออกแบบ รวมไปถึงการพัฒนาธุรกิจที่สืบเนื่อง โดยเฉพาะด้านอุตสาหกรรมสร้างสรรค์และการสร้างนวัตกรรมเชิงผลิตภัณฑ์ ที่ในปัจจุบันมีบทบาทสำคัญและมูลค่าทางเศรษฐกิจมากถึง ร้อยละ 5.61 ของ GDP โดยในปี 2560 มีมูลค่าถึง 1.4 ล้านล้านบาท ดังนั้น การที่นักศึกษาได้เรียนรู้ลงมือปฏิบัติจริง จะช่วยเพิ่มพูนทักษะและประสบการณ์ ซึ่งจะส่งผลดีต่อความก้าวหน้าในวิชาชีพเมื่อจบการศึกษา
อาจารย์ธีรบูลย์ พิศาลอภิพงศ์ คณบดีคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม กล่าวว่า ขณะเดียวกัน คณะสถาปัตยกรรม ยังได้ร่วมมือกับเครือข่ายมหาวิทยาลัยจากประเทศญี่ปุ่น ประกอบด้วย มหาวิทยาลัย Sugiyama, มหาวิทยาลัยวาเซดะ, มหาวิทยาลัย Ryukyus เมืองมิตซึเอะ จ.นาระ และภาคเอกชนประเทศญี่ปุ่น ในการพัฒนาหลักสูตรและการฝึกอบรม "ทักษะช่างไม้ในงานก่อสร้างแบบญี่ปุ่น" อันมีรูปแบบการก่อสร้างและการเข้าไม้ที่เป็นเอกลักษณ์ ผสานเข้ากับศาสตร์และนวัตกรรมลดใช้พลังงาน ตอบโจทย์รูปแบบการก่อสร้างและธุรกิจยั่งยืนในอนาคต โดยร่วมกันจัดตั้ง Wood training center หลักสูตรระยะสั้นผ่านฝึกปฏิบัติโครงการสหกิจศึกษาที่ประเทศญี่ปุ่น เป็นเวลา 4 เดือน และระยะยาวในรูปแบบ Dual Degree ถือเป็นโอกาสทางการศึกษาสำหรับนักศึกษาและผู้ที่สนใจด้านการก่อสร้างอาคารไม้ ในรูปแบบ ของการออกแบบเพื่อประหยัดพลังงาน ผู้เข้าร่วมโครงการจะมีความเชี่ยวชาญทางทักษะช่างไม้ และการออกแบบสถาปัตยกรรมไม้แบบญี่ปุ่น ได้เรียนรู้เกี่ยวกับลักษณะของไม้สนญี่ปุ่น คุณสมบัติ จุดเด่น ข้อจำกัดต่างๆ รวมถึงทักษะการผลิตชิ้นส่วน อาทิ การเตรียมไม้ การไสไม้ ตลอดจนการออกแบบโครงสร้าง พร้อมกันนี้ยังได้เรียนรู้นวัตกรรมและชิ้นส่วนอุปกรณ์ ที่ชาวญี่ปุ่นติดตั้งเพิ่มเติมเพื่อลดการใช้พลังงาน ซึ่งสามารถต่อยอดและขยายสู่โอกาสทางวิชาชีพสถาปนิกที่มีทักษะเชี่ยวชาญเฉพาะทางในอนาคตได้อีกด้วย
"ต้นแบบเรือนไม้ประหยัดพลังงาน - Japanese Tea Pavilion นี้ ตั้งอยู่ในมหาวิทยาลัยศรีปทุม ประกอบด้วย 2 อาคาร คือ อาคารศาลาพักผ่อน ซึ่งสามารถดัดแปลงเป็นบ้านเรือนพักอาศัยได้ และอาคารดื่มน้ำชา เพื่อสะท้อนถึงวัฒนธรรมการดื่มน้ำชาของญี่ปุ่น ที่ถือเป็นวัฒนธรรมสำคัญระดับโลก โดยนำเข้าไม้สนจากประเทศญี่ปุ่นนำมาก่อสร้างทั้งหมด ชื่อว่า "ไม้สุกิ" มีลักษณะพิเศษ คือมีกลิ่นหอมและมีคุณค่าเทียบเท่าไม้สักของคนไทย นอกจากนี้ตัวอาคารยังมีการติดตั้งนวัตกรรมและวัสดุที่น่าสนใจ ประกอบด้วย นวัตกรรมป้องกันแผ่นดินไหว อุปกรณ์ป้องกันปลวก แผ่นป้องกันเสียง ป้องกันความร้อนและความเย็น โดยใช้เทคโนโลยีวัสดุด้าน Insulation ที่ทำงานร่วมกับผนังได้เป็นอย่างดี และป้องกันทุกพื้นผิวตั้งแต่พื้น ผนัง ฝา ตอบโจทย์กระแสความต้องการของภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมก่อสร้างในปัจจุบัน ที่นอกจากความสวยงามของอาคารแล้ว ยังต้องคำนึงถึงการลดใช้พลังงานตามเทรนด์ผู้บริโภคที่ต้องการประหยัดค่าใช้จ่าย ลดการใช้ไฟฟ้า" อาจารย์ธีรบูลย์ กล่าว
นายสหรัฐ พหลยุทธ์ ศิษย์เก่าคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม ผู้ควบคุมการก่อสร้างต้นแบบเรือนไม้ประหยัดพลังงาน - Japanese Tea Pavilion กล่าวต่อว่า ความพิเศษของการออกแบบและก่อสร้างในครั้งนี้ คือการผสานองค์ความรู้เกี่ยวกับกระบวนการและวิธีการก่อสร้างอาคารไม้ญี่ปุ่นร่วมกับการก่อสร้างแบบไทย โดยเฉพาะวิธีการเข้ารอยต่อไม้โบราณแบบญี่ปุ่น ซึ่งต่างจากของไทยตรงที่สามารถอยู่ได้โดยไม่ต้องใช้ตะปูยึด การปูพื้นไม้ให้ลงล๊อคได้โดยที่ไม่ต้องเลื่อยไม้ทิ้ง ผสมกับนวัตกรรมปัจจุบันที่ชาวญี่ปุ่นนำมาติดตั้ง ซึ่งมีทั้งแผ่นกันชื้น กันความร้อนช่วยลดผลกระทบจากสภาพอากาศที่แตกต่างสุดขั้วในฤดูหนาวและฤดูร้อน และแผ่นป้องกันปลวกศัตรูสำคัญของบ้านไม้ทั่วโลก ติดตั้งระหว่างคานปูกับพื้นไม้ให้มีช่องว่างอากาศถ่ายเทป้องกันปลวกกินเนื้อไม้ ขณะที่ในเชิงโครงสร้างของอาคาร มีการพัฒนาถึงขั้นทนต่อแรงสั่นสะเทือนเมื่อเกิดเหตุแผ่นดินไหว โดยติดตั้งอุปกรณ์ Sujikai หลังแผ่นยิปซั่มบอร์ด ซึ่งแม้ว่าในบ้านเราอาจไม่จำเป็นต้องใช้วิธีสร้างแบบเขาทั้งหมด แต่ก็มีเทคนิคที่สามารถนำมาปรับใช้ให้เข้ากันได้ และประยุกต์ออกมาให้สวยงามด้วยรูปแบบการผสมผสานที่ลงตัว
"ช่วงเวลาที่ได้ไปฝึกงานที่ประเทศญี่ปุ่น มีโอกาสได้เรียนรู้กับผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านแกะสลัก ทำมือ ผู้เชี่ยวชาญเรื่องปลวก ผู้เชี่ยวชาญด้านแผ่นดินไหว ที่สนุกที่สุดคือการสร้างแบบจำลองและทำโมเดล โดยที่นั่นให้เราเรียนรู้วิธีสร้างบ้านไม้แบบญี่ปุ่นผสานกับการสร้างบ้านไม้แบบไทย นอกจากนี้ยังได้เรียนรู้ขั้นตอนตั้งแต่เริ่มต้น ตั้งแต่การประมูลต้นไม้ รวมถึงติดตามทีมงานขึ้นไปดูการตัดไม้ เลือกไม้ แปรรูปไม้ ก่อนส่งกลับยังมหาวิทยาลัยศรีปทุม นำมาสร้างเรือนไม้ต้นแบบเพื่อเป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้ แสดงนวัตกรรมการก่อสร้างแบบญี่ปุ่น ซึ่งทุกอย่างเป็นระบบมากๆ และเมื่อกลับมายังประเทศไทยก็มีโอกาสได้เข้ามาช่วยควบคุมดูแลการก่อสร้างและให้คำแนะนำต่างๆ กับช่างก่อสร้างชาวไทย" นายสหรัฐ กล่าว
ด้าน ศ. ชิน มูราคามิ (Prof. Shin Murakami) ผู้อำนวยการบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัย Sugiyama กล่าวเสริมว่า ความร่วมมือในครั้งนี้ถือเป็นการผสานองค์ความรู้ทางวิชาการครั้งสำคัญ ซึ่งสถาบันการศึกษาทั้งสองประเทศจะได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนเพิ่มพูนความรู้และประสบการณ์ระหว่างกัน โดยเฉพาะในด้านทักษะการออกแบบและการใช้ไม้ มาเป็นส่วนประกอบในงานสถาปัตยกรรม โดยเฉพาะรายละเอียดการออกแบบงานไม้แบบญี่ปุ่นและแบบไทย ซึ่งทั้งสองศาสตร์ถือว่ามีเอกลักษณ์และเทคนิคที่สามารถนำมาประยุกต์เข้ากันได้ ช่วยให้โครงสร้างออกมาสวยงามเหมาะสมกับสภาพอากาศสภาพแวดล้อม ที่น่ายินดีคือเมื่อนักศึกษาที่จบจากโปรแกรมนี้ ยังมีโอกาสในอนาคตสำหรับการเข้าร่วมทำงานกับบริษัทก่อสร้างในประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย