![ก.ล.ต. จัดสัมมนาใหญ่สนับสนุนเอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพเข้าถึงตลาดทุนและแข่งขันได้ในยุคดิจิทัล]()
กรุงเทพฯ--28 ก.พ.--
ก.ล.ต.
ก.ล.ต. เปิดประตู
เอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพสู่
ตลาดทุนไทยด้วยเทคโนโลยี จัดงานสัมมนา “SEC FinTech for
SMEs and Startup : Innovation for Financial Inclusion” สนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุนผ่าน
ตลาดทุน พร้อมปลดล็อคข้อจำกัด ส่งเสริมการนำเทคโนโลยีมาเพิ่มประสิทธิภาพทางธุรกิจและความสามารถในการแข่งขันในยุคดิจิทัล และเปิดพื้นที่เจรจาจับคู่ทางธุรกิจสร้างพันธมิตรต่อยอดการเติบโต
นายวรวิทย์ จำปีรัตน์ ประธานกรรมการ คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (
ก.ล.ต.) กล่าวว่า
ก.ล.ต. ตระหนักถึงความสำคัญและความจำเป็นในการพัฒนา
เอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพ เพื่อให้เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน จึงจัดงานสัมมนา “SEC FinTech for
SMEs and Startup : Innovation for Financial Inclusion” ขึ้น เพื่อสร้างการรับรู้ถึงนโยบายและการสนับสนุนของทางการ การเข้าถึงแหล่งเงินทุนผ่าน
ตลาดทุน การนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการประกอบธุรกิจและปรับตัวให้เท่าทันกับเทคโนโลยี ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วในยุคดิจิทัล รวมถึงการจับคู่ทางธุรกิจ (business matching) เพื่อให้สามารถเติบโตและแข่งขันได้ในยุคดิจิทัลตามแผนยุทธศาสตร์ชาติและแผนพัฒนา
ตลาดทุนไทย
นางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล เลขาธิการ
ก.ล.ต. กล่าวบรรยายในหัวข้อ “
ก.ล.ต. เปิดประตู
SMEs และ Startups สู่
ตลาดทุนไทยด้วยเทคโนโลยี” ถึงความสำคัญของ
เอสเอ็มอีต่อระบบเศรษฐกิจไทยและบทบาทของ
ก.ล.ต. ที่จะช่วย เปิดล็อก “ประตู 3 บาน” ได้แก่ การขาดช่องทางเข้าถึงเงินทุน การขาดข้อมูลเรื่องการระดมทุน และการขาดเครื่องมือพัฒนาและต่อยอดธุรกิจ ซึ่งเป็นข้อจำกัดทำให้
เอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพไม่สามารถเข้าถึงทุนใน
ตลาดทุน ด้วย “กุญแจ 8 ดอก” ประกอบด้วย
(1) งานสัมมนา “SEC FinTech for
SMEs and Startup” ที่ทำให้เห็นแนวทางการสนับสนุน
เอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพของหน่วยงานภาค
ตลาดทุน และยังเป็นครั้งแรกที่เปิดพื้นที่เจรจาจับคู่ทางธุรกิจเพื่อสร้างพันธมิตรระหว่าง
เอสเอ็มอี สตาร์ทอัพ และผู้ลงทุนที่มีศักยภาพ
(2) จัดทำแพลตฟอร์มสนับสนุนการระดมทุนสำหรับ
เอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพ โดยในระยะแรกจะเป็นการให้ข้อมูล สื่อสาร ประชาสัมพันธ์ เพื่อให้ผู้ที่สนใจสามารถเข้าถึงข้อมูลของ
เอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพ รวมถึงความรู้เกี่ยวกับการระดมทุนได้ง่าย และในระยะต่อไปอาจขยายการดำเนินการไปในส่วนอื่น ๆ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อประโยชน์ของ
เอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพ เช่น การจับคู่ทางธุรกิจ การพัฒนาความรู้ชั้นสูงเพื่อเพิ่มทักษะผู้ประกอบการ นอกจากนี้ จะส่งเสริมให้เกิดเครื่องมือที่ช่วยบริหารและจัดการแก่ผู้ประกอบธุรกิจ (shared technology solution service) เช่น โปรแกรมระบบบัญชี ระบบภาษี เพื่อยกระดับมาตรฐานการประกอบธุรกิจ ให้สามารถต่อยอดใน
ตลาดทุนหรือเข้าถึงแหล่งเงินทุนช่องทางอื่น ๆ ได้ง่ายยิ่งขึ้น
(3) เปิดช่องทางให้
เอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนใน
ตลาดทุนด้วยการออกหลักทรัพย์ ที่เหมาะสมกับบริบทตามขนาดของกิจการและความต้องการทุน
(4) ทบทวนกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการเสนอขายหลักทรัพย์ผ่านระบบคราวด์ฟันดิง เพื่อสร้างความชัดเจนให้กับ ผู้ประกอบธุรกิจในระบบคราวด์ฟันดิง และเพิ่มทางเลือกในการระดมทุน
(5) พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของ
ตลาดทุนไทย โดยนำ Distributed Ledger Technology (DLT) มาประยุกต์ใช้ เพื่อรองรับกระบวนการสำหรับทุกผลิตภัณฑ์ รวมทั้งรองรับหลักทรัพย์ของ
เอสเอ็มอี
(6) ลงพื้นที่ให้ความรู้กับ
เอสเอ็มอีในภูมิภาค เพื่อแนะนำเครื่องมือการระดมทุน และการเตรียมตัวเข้าสู่
ตลาดทุน รวมถึงการเปิดคลินิกให้คำแนะนำ ภายใต้โครงการ “การลงพื้นที่ให้ความรู้สู่ภูมิภาค” และการจัดสัมมนา
(7) จัดให้มี “24/7 Financial Clinic” เพื่อให้คำปรึกษาแก่ผู้สนใจโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ซึ่งผู้ที่สนใจรับข้อมูลสามารถโทรศัพท์ไปยัง Help Center ของ
ก.ล.ต. ที่เบอร์ 1207
(8) สร้างความร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ และจัดตั้งคณะทำงานเสริมสร้างวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม กิจการเงินร่วมลงทุน นิติบุคคลร่วมลงทุน สู่
ตลาดทุนไทย หรือ คณะทำงาน
SME PE VC โดยบูรณาการการทำงานกับทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนอีก 13 แห่ง
ในงานสัมมนาครั้งนี้ยังมีการเสวนาหัวข้อ “การปลดล็อกศักยภาพ
SMEs และ Startups ไทยให้เข้าถึงและแข่งขันได้ในยุคดิจิทัล” โดยหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่มีบทบาทใน
ตลาดทุนและการส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หัวข้อ “อนาคตของการระดมทุน ทางเลือกใหม่ของ
SMEs และ Startups” โดยผู้ประกอบธุรกิจเงินร่วมลงทุน ผู้ให้บริการระบบคราวด์ฟันดิง และ
เอสเอ็มอีที่ระดมทุนผ่านหุ้นคราวด์ฟันดิงสำเร็จเป็นรายแรกของประเทศไทย หัวข้อ “ติดอาวุธ
SMEs และ Startups ไทยด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี” และการบรรยายเรื่อง The Journey toward Digital Era โดยผู้บริหารบริษัทสตาร์ทอัพชั้นนำ
รวมทั้งการจัดแสดงบูธนิทรรศการจากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมสนับสนุน
เอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพรวม 27 บูธ และภายในงาน
ก.ล.ต. จัดให้มีการเจรจาจับคู่ทางธุรกิจประมาณ 15 ราย โดยมีผู้เข้าร่วมงานกว่า 500 คน เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2563 ณ สามย่านมิตรทาวน์ กรุงเทพฯ
![]()