กรุงเทพฯ--28 ก.พ.--สยาม พีอาร์ คอนซัลแทนท์
บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ANAN ผู้นำแห่งวงการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับคนเมือง ครองตำแหน่งผู้นำตลาดคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้า เผยยอดขายปี 2562 สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 14% อยู่ที่ 26,654 ล้านบาท โดยมาจากยอดขายของโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ที่เปิดขายในไตรมาส 4 โดยเฉพาะโครงการไอดีโอ จุฬาฯ-สามย่าน และไอดีโอ จรัญฯ 70-ริเวอร์วิว ที่มีอัตราการขายสูงกว่า 70% โดยบริษัทฯ มีแบ็คล็อค ณ สิ้นปี 2562 กว่า 31,000 ล้านบาท เพื่อรองรับการเติบโตของยอดโอนของบริษัทฯ ในระยะ 3 ปี ขณะที่ในปี 2563 บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดโอนกว่า 22,000 ล้านบาท เติบโต 10% จากปีก่อน สอดคล้องความต้องการที่อยู่อาศัยทำเลใกล้รถไฟฟ้ายังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง
ดร. ชัยยุทธ ชุณหะชา ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการเงิน บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ผลการดำเนินงานในปี 2562 บริษัทฯ สามารถทำยอดขายและยอดโอนใกล้เคียงกับที่คาดการณ์ไว้ แม้ว่าตัวเลขจะลดลงจากปีก่อน จากสถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่มีความท้าทายทั้งปัจจัยภายในประเทศและต่างประเทศ อย่างไรก็ตามบริษัทฯเชื่อว่าความต้องการที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะทำเลใกล้รถไฟฟ้ายังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง ขณะที่บริษัทฯ มีรายได้รวม 9,203 ล้านบาท ลดลง 13% จากปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 705 ล้านบาท ลดลง 71% จากปีก่อน โดยส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการลดลงของส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในกิจการร่วมค้า ซึ่งยอดโอนของโครงการร่วมทุนที่สร้างเสร็จพร้อมโอนในปี 2562 น้อยกว่าในปี 2561 ที่มีโครงการร่วมทุนขนาดใหญ่สร้างเสร็จและเริ่มโอน เช่น โครงการแอชตัน อโศก โครงการแอชตัน จุฬา-สีลม และโครงการไอดีโอ สุขุมวิท 93 ซึ่งเป็นไปตามกำหนดการก่อสร้างแล้วเสร็จของโครงการ
สำหรับอนันดาฯ
ปีนี้ถือเป็นอีกปีที่ท้าทาย
เพราะสถานการณ์เปลี่ยนยิ่งทำให้ต้องมีการปรับตัวอยู่ตลอดเวลา ภายใต้แนวคิด “Change The Plan Never
The Goal” ยึดมั่นในเป้าหมาย ยืดหยุ่นในวิธีการ
เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพตลาดและความต้องการของลูกค้าซึ่งอนันดาฯ
ยังคงให้ความสำคัญและเชื่อมั่นในกลยุทธ์การพัฒนาคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้า
ในส่วนของกระแสเงินสดของบริษัทยังมีความแข็งแกร่งโดย
ณ สิ้นสุดไตรมาสยังคงรักษาเงินสดรวมโครงการร่วมทุนกว่า 14,800 ล้านบาท ทั้งยังได้รับการสนับสนุนที่แข็งแกร่งและต่อเนื่องจากสถาบันการเงินชั้นนำ
และมีทางเลือกในการจัดหาแหล่งเงินทุนที่หลากหลายสามารถเลือกใช้ได้ตามสถานการณ์ และถึงแม้ว่าบริษัทจะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องแต่ก็ยังคงรักษาวินัยทางการเงินอย่างเข้มงวด
โดยสามารถรักษาอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อทุนไว้ภายใต้เป้าหมายที่ 1:1
ทั้งนี้ในไตรมาส 4
บริษัทฯ ได้เปิดตัวคอนโดมิเนียมใหม่ 4 โครงการ มูลค่ากว่า 13,000
ล้านบาท ได้แก่ โครงการไอดีโอ จุฬาฯ-สามย่าน มูลค่าโครงการกว่า
4,900 ล้านบาท ใกล้รถไฟฟ้าสถานี MRT สามย่าน
โครงการไอดีโอ สุขุมวิท-พระราม 4 มูลค่าโครงการกว่า
4,000 ล้านบาท ใกล้รถไฟฟ้าสถานี BTS พระโขนง
โครงการไอดีโอ จรัญฯ 70-ริเวอร์วิว มูลค่าโครงการกว่า 3,500
ล้านบาท ใกล้รถไฟฟ้าสถานี MRT บางพลัด
และโครงการคิว ประสานมิตร มูลค่าโครงการกว่า 700 ล้านบาท
ใกล้รถไฟฟ้าสถานี BTS พร้อมพงษ์
ในปี 2562 บริษัทฯ
ได้เปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียม 4 โครงการ และโครงการแนวราบ 2
โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 16,000 ล้านบาท โดยมีการเลือกเปิดโครงการซึ่งเน้นตลาดระดับ
Mid-End
บริษัทฯ
มียอดโอนจากต่างประเทศในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ระดับ 19% เป็น
22% ซึ่งถือเป็นสถิติสูงสุดตั้งแต่ปี 2557 ที่เริ่มการขายไปยังลูกค้าต่างประเทศ
ในปี 2563 บริษัทฯ มีแผนการเปิดตัวโครงการ
ไอดีโอ พหล-สะพานควาย อยู่ติดกับรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีสะพานควาย เพียง
0 เมตรบนที่ดินกว่า 5 ไร่ มีจำนวนห้องพักอาศัยทั้งหมด 1,356 ยูนิต มูลค่าโครงการกว่า 8,500 ล้านบาท ซึ่งมีการปรับรูปแบบโครงการให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าและสภาวะตลาด
พร้อมตั้งเป้ายอดโอน 22,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% จากปีก่อน และคาดว่าปีนี้จะมีคอนโดมิเนียมที่จะก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมเริ่มโอนอีก
7 โครงการ เพิ่มเติมจากในปี 2562 ซึ่งมีคอนโดมิเนียมใหม่ที่สร้างแล้วเสร็จ
และพร้อมเริ่มโอนกว่า 8 โครงการ
บริษัทฯ ยังคงได้รับความเชื่อมั่นและไว้วางใจจากพันธมิตรที่แข็งแกร่งอย่างบริษัท มิตซุย ฟูโดซัง จำกัด เป็นอย่างดีตั้งแต่เริ่มร่วมทุนในปี 2013– จนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้ โครงการเซอร์วิส อพาร์ทเม้นท์ที่จับมือกับพันธมิตรระดับโลกอย่างดิ แอสคอทท์ ลิมิเต็ด ซึ่งเป็นอันดับหนึ่งในผู้ประกอบการธุรกิจเซอร์วิสเรสซิเด้นซ์ระดับลักชัวรี่ชั้นนำของโลกกำลังจะแล้วเสร็จและพร้อมดำเนินการ 2 โครงการในปีนี้ คือ SOMERSET
RAMA9 และ LYF SUKHUMVIT 8 ซึ่งจะมาช่วยเสริมให้มีรายได้เข้ามาอย่างสม่ำเสมอ
(Recurring Income) อีกด้วย
ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัทฯ เตรียมขออนุมัตินำเสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น
เพื่อพิจารณาเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้น เป็น 11.75 สตางค์ คิดเป็นอัตราเงินปันผลจ่าย
56% ซึ่งเป็นอัตราเงินปันผลจ่ายที่สูงสุดตั้งแต่มีการเสนอขายหุ้น
IPO ของบริษัทฯ