กรุงเทพฯ--3 มี.ค.--ไออาร์ พลัส
ซินเน็คฯ พร้อมรับมือกับความท้าทายจากปัจจัยลบต่าง ๆ ที่ส่งผลกระทบในทางลบต่อภาวะเศรษฐกิจ และเดินหน้ารับการฟื้นตัวและโอกาสที่เกิดขึ้นจากการลงทุนในเครือข่าย 5G ที่จะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2563 หนุนการซื้อสินค้าและเม็ดเงินลงทุนที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี 5G ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ไอทีซีเคียวริตี้ (IT Security) และ IoT (Internet of Things) รวมถึงการจัดทัพทีมขายรุกขยายฐานลูกค้ากลุ่มคอมเมอร์เชียล คอนซูเมอร์ และออนไลน์ โฟกัสสินค้ากลุ่มโน๊ตบุ๊ค เกมมิ่งและแก็ดเจ็ตต่าง ๆ รวมถึงอุปกรณ์สื่อสารที่รองรับเครือข่าย 5G ควบคู่กับการขยายงานด้านบริการ หนุนรายได้และกำไรสุทธิสำหรับปี 2563 ให้เติบโตจากปีก่อนที่มีรายได้รวมและกำไรสุทธิเท่ากับ 34,804 ล้านบาท และ 524 ล้านบาท ตามลำดับ ทั้งนี้ บอร์ดไฟเขียวจ่ายปันผลตอบแทนผู้ถือหุ้นงวดครึ่งปีหลัง 0.32 บาทต่อหุ้น กำหนดจ่าย 12 พฤษภาคม 2563 ซึ่งจะต้องได้รับอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2563 ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 24 เมษายน 2563
คุณทศพร นิษฐานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฎิบัติการ บริษัท ซินเน็ค (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ SYNEX ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายสินค้าไอทีชั้นนำระดับโลกหลากหลายประเภท เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจในปี 2563 นี้ จะมีปัจจัยบวกจากการที่ประเทศไทยเดินหน้าเข้าสู่การพัฒนาเทคโนโลยี 5G โดยผู้ให้บริการเครือข่ายได้ทำการประมูลคลื่นความถี่สำหรับให้บริการไปแล้วในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ทำให้สินค้าที่เกี่ยวข้องจะได้รับการตอบรับมากขึ้นในเวลาอันรวดเร็ว ซึ่งรวมไปถึงสินค้าเทคโนโลยีที่ซินเน็คฯ เป็นผู้จัดจำหน่าย ได้แก่ สินค้ากลุ่มสมาร์ทโฟน คลาวด์เซอร์วิส ไอทีซีเคียวริตี้ ไอโอที เกมมิ่งและแก็ดเจ็ตต่าง ๆ โดยซินเน็คฯ ในฐานะดิสทริบิวเตอร์ไอทีรายใหญ่ของประเทศไทย ปัจจุบันได้รับความไว้วางใจให้เป็นตัวแทนจำหน่ายมากกว่า 60 แบรนด์สินค้าชั้นนำ ภายใต้คำขวัญ “Synnex as a Service” หรือ “SaaS” ผ่าน 3 แฟลตฟอร์มหลัก ได้แก่ โลจิสติกส์ (Logistics Plus), การบริการหลังการขาย (Services Plus) และการเงิน (Financial Instrument Plus) ทั้งสินค้าสำหรับกลุ่มลูกค้าองค์กร และคอนซูเมอร์ โดยมีช่องทางจัดจำหน่ายครอบคลุมกว่าผู้แทนจำหน่ายกว่า 6,000 ราย ซึ่งจะทำการขยายเพิ่มเติมขึ้น โดยเฉพาะในช่องทางผู้จัดจำหน่ายรายเล็ก และช่องทางออนไลน์ นอกจากนี้ ยังมีศูนย์บริการหลังการขายกว่า 70 แห่งทั่วประเทศ และด้วยฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งทำให้ซินเน็คฯ สามารถให้ความยืดหยุ่นและช่วยเหลือด้านการเงินแก่คู่ค้าได้เป็นอย่างดี เป็นการเสริมความแข็งแกร่งผลงานในปี 2563 พร้อมขยายการเติบโตทั้งรายได้และกำไร โดยคาดว่ารายได้จะเติบโตได้ไม่ต่ำกว่าการเติบโตของเศรษฐกิจโดยรวมในปีนี้
สำหรับการเตรียมความพร้อมในการรับมือกับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวจากหลากหลายปัจจัยลบในช่วงต้นปี 2563 นี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่ออุปทานของสินค้าบางแบรนด์ เนื่องจากซินเน็คฯ มีแบรนด์สินค้าชั้นนำที่เป็นตัวแทนจำหน่ายอยู่เป็นจำนวนมาก ทำให้สามารถบริหารความเสี่ยงดังกล่าวในระยะสั้นได้เป็นอย่างดี โดยสามารถหันไปเพิ่มยอดขายในสินค้าที่ไม่ได้รับผลกระทบในช่วงระหว่างที่รอให้สถานการณ์ปรับตัวดีขึ้น และอาศัยช่วงเวลานี้ในการบริหารจัดการระดับกำไรขั้นต้น สินค้าคงคลัง รวมถึงค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม โดยคาดว่าเศรษฐกิจโดยรวมน่าจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติในช่วงครึ่งหลังของปี
นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2563 ได้อนุมัติการจ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานในงวดครึ่งปีหลัง ปี 2562 เพิ่มอีกในอัตราหุ้นละ 0.32 บาท กำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) 6 มีนาคม 2563 กำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับปันผล (Record date) วันที่ 9 มีนาคม 2563 และกำหนดการจ่ายเงินปันผลในวันที่ 12 พฤษภาคม 2563 อนึ่ง บริษัทฯ ได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลประกอบการงวด 6 เดือนแรกของปี 2562 ในอัตราหุ้นละ 0.15 บาท ทำให้ทั้งปีซินเน็คฯ จ่ายปันผลรวมในอัตราหุ้นละ 0.47 บาท คิดเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผลที่ร้อยละ 73.4 ของกำไรสุทธิ ตอกย้ำการเป็นหุ้นปันผลที่ให้ผลตอบแทนผู้ถือหุ้นสม่ำเสมอ และตอบแทนผู้ถือหุ้นที่ให้การสนับสนุนบริษัทฯ ด้วยดีเสมอมา
สำหรับ ผลประกอบการประจำปี 2562 ซินเน็คฯ มีรายได้จากการขายและให้บริการอยู่ที่ 34,804 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนร้อยละ 8.88 และกำไรสุทธิอยู่ที่ 524 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนร้อยละ 27.38 จากรายได้และอัตรากำไรขั้นต้นที่ลดลงรวมถึงต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้น แม้ว่าบริษัทฯ มีการบริหารค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารอย่างมีประสิทธิภาพ บริษัทฯ ได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญจากกรณีพิพาททางการค้า ระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ทำให้ยอดจำหน่ายสินค้าในกลุ่มผลิตภัณฑ์อุปกรณ์สื่อสารปรับตัวลดลงอย่างมาก แม้ว่ารายได้จากการจำหน่ายสินค้ากลุ่มเกมมิ่ง คอมพิวเตอร์ โน๊ตบุ๊คและรายได้จากการให้บริการมีการเติบโตอย่างมาก นอกจากนี้ รายได้จากการจำหน่ายสินค้ากลุ่มอุปกรณ์มัลติมีเดียและชิ้นส่วนประกอบคอมพิวเตอร์ก็มีการปรับตัวลดลงจากราคาจำหน่ายต่อหน่วยที่ลดลง เนื่องจากความไม่สมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทาน ซึ่งเป็นไปตามวัฏจักรของสินค้าในกลุ่มนี้
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ และผู้ผลิตสินค้าของตราสินค้าในกลุ่มอุปกรณ์สื่อสารที่ได้รับผลกระทบจากกรณีพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ได้ทำการบริหารจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นร่วมกันอย่างใกล้ชิด ทำให้สถานการณ์คลี่คลายลงตามลำดับในช่วงครึ่งปีหลัง
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้ดำเนินมาตรการหลายอย่างเพื่อเพิ่มยอดขายของตราสินค้าอื่นในกลุ่มเดียวกัน รวมถึง ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดจำหน่ายของตราสินค้ารายใหม่ๆ ในกลุ่มเดียวกันนี้ เพื่อเป็นการลดผลกระทบที่เกิดขึ้น ขณะที่ สินค้าในกลุ่มมัลติมีเดีย และชิ้นส่วนประกอบคอมพิวเตอร์ได้เริ่มปรับตัวดีขึ้น ในช่วงต้นปี 2563 แล้ว ส่วนรายได้จากการจำหน่ายสินค้าให้กับลูกค้ากลุ่มองค์ก็ได้ปรับตัวดีขึ้นตามลำดับ