กรุงเทพฯ--9 มี.ค.--สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจ ศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
บทความโดย ผศ.ดร. ปิยะชาติ ภิรมย์สวัสดิ์ สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจ ศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยศาสตราจารย์ ดร. เกื้อ วงศ์บุญสิน สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจ ศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยศาสตราจารย์ ดร.พัชราวลัย วงศ์บุญสิน วิทยาลัยประชากรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
สำหรับประเทศไทยในปัจจุบัน หลายภาคส่วนได้เริ่มตระหนักและเห็นความสำคัญของการก้าวเข้าสู่สังคมสูงอายุ โดยประเด็นเรื่องการก้าวเข้าสู่สังคมสูงอายุได้ถูกบรรจุให้เป็น “วาระแห่งชาติ” โดยคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในหลายๆประเด็น อย่างไรก็ดีความท้าทายอีกมุมหนึ่งของการก้าวเข้าสู่สังคมสูงอายุที่จะมีความสำคัญอย่างมากในอนาคต แต่ยังไม่ได้รับความสนใจและความเข้าใจที่ถูกต้องจากประชาชนและภาคส่วนต่างๆ คือ การก้าวเข้าสู่ “สังคมไร้ลูกหลาน” ของประเทศไทย
จากข้อมูลการสำรวจภาวะการทำงานฃองประชากรของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2549 ถึง 2561 พบว่า โครงสร้างของครัวเรือนที่ “ไร้ลูกหลาน” ในปี 2561 นั้นมีสัดส่วนสูงถึง 37.4 เปอร์เซ็นต์ของครัวเรือนทั้งหมด (เพิ่มจาก 26.1 เปอร์เซ็นต์ ในปี 2549) ซึ่งคิดเป็นอัตราการเติบโต (growth rate) ที่สูงถึง 43.3 เปอร์เซ็นต์ โดยโครงสร้างของครัวเรือนที่ไร้ลูกหลาน ประกอบด้วยครอบครัว DINK (Double Income No Kids) หรือ ครอบครัวที่สามีและภรรยาไม่มีลูก และ ครอบครัว SINK (Single Income No Kids) หรือ ครอบครัวที่ผู้ชายหรือผู้หญิงอยู่คนเดียวและไม่มีลูก ซึ่งระหว่าง ครอบครัว DINK กับ ครอบครัว SINK จะพบว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่าน ครอบครัว SINK หรือ ครอบครัว “คนโสด” มีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นมากกว่าอย่างชัดเจน ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ เกื้อ (2549) และ Wongboonsin และคณะ (2014) ถ้าคิดเป็นจำนวนจะพบว่า ประชากรไทยในปัจจุบันกว่า 21 ล้านครัวเรือน เป็นครัวเรือน “ไร้ลูกหลาน” ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าตกใจมาก และที่น่าตกใจกว่านี้คือ ตัวเลขนี้มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต
สาเหตุหลักของการเกิดสังคมไร้ลูกหลานนั้นเกิดจากการที่สังคมไทยมีแนวโน้มการมีบุตรในจำนวนที่ลดลงเป็นอย่างมาก ซึ่งสามารถเห็นได้จากการลดลงของอัตราเจริญพันธุ์ (fertility rate) หรือ จำนวนบุตรเฉลี่ยต่อผู้หญิงหนึ่งคน โดยในช่วงปี พ.ศ. 2507-2508 (ประมาณ 50 ปีที่แล้ว) อัตราเจริญพันธุ์ของประเทศไทยอยู่ที่ระดับ 6.3 คน แต่อย่างไรก็ดี ในช่วงปี พ.ศ. 2558-2563 อัตราเจริญพันธุ์ของประเทศไทยลดลงเหลือเพียง 1.45 คน สาเหตุหลักของการลดลงของ
อัตราเจริญพันธุ์นั้นมาจากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและค่านิยมทางสังคม อาทิเช่น การมีงานทำของผู้หญิงที่มีจำนวนและอัตราที่สูงขึ้น อายุแรกสมรสของคู่สมรสที่มีแนวโน้มสูงขึ้น การที่ผู้หญิงไทยมีบุตรคนแรกในวัยที่สูงกว่าในอดีต แนวโน้มของการเป็นโสดที่เพิ่มมากขึ้น และ แนวโน้มการหย่าร้างที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งแนวโน้มเหล่านี้เป็นผลจากค่านิยมและวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปโดยผู้คนในปัจจุบันให้ความสำคัญกับการมีความพร้อมทางเศรษฐกิจและสังคมของตนเองเป็นลำดับต้นในการบรรลุเป้าหมายของชีวิต ซี่งจะเห็นได้จากแบบแผนการดำเนินชีวิตของผู้คนในสังคมที่เน้นเลือกที่จะทำงานสร้างรายได้ก่อนที่จะแต่งงาน และเลือกที่จะมีบ้าน มีรถ เครื่องอำนวยความสะดวกภายในบ้าน ก่อนที่จะมีบุตร หรือ เลือกที่จะเป็นโสดมากขึ้นเพื่อบรรลุเป้าหมายของชีวิตด้วยตนเองและไม่ต้องมีภาระที่จะต้องรับผิดชอบอีกชีวิตหนึ่ง
การก้าวเข้าสู่สังคมไร้ลูกหลานนั้นจะมีผลกระทบอย่างไร ในการตอบคำถามนี้ เราจะอ้างอิงถึงงานวิจัยทั้งในประเทศและต่างประเทศที่ได้ศึกษาถึงผลกระทบของผู้สูงอายุที่ไม่มีลูกหลาน โดยงานวิจัยสามารถแบ่งได้เป็นสองกลุ่มคือ งานวิจัยที่ทำขึ้นในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว อาทิเช่น ประเทศสหรัฐอเมริกา และ สหภาพยุโรป และอีกกลุ่มคืองานวิจัยที่ทำขึ้นในกลุ่มประเทศที่กำลังพัฒนา อาทิเช่น ประเทศจีน และ ประเทศไทย จากงานวิจัยเหล่านี้การไม่มีลูกหลานอาจจะส่งผลกระทบเชิงลบต่อผู้สูงอายุได้หลักๆอยู่ 2 ทาง คือ ทางการเงินเนื่องจากผู้สูงอายุไม่มีลูกหลานมาช่วยเหลือปัญหาทางการเงินที่อาจจะเกิดขึ้นในวัยเกษียณ ซึ่งปัญหาทางการเงินเหล่านี้อาจจะมาจากการเก็บเงินออมไม่เพียงพอ หรือเกิดจากการมีปัญหาสุขภาพที่จำเป็นต้องใช้เงินในการรักษาตัวมากกว่าที่ได้วางแผนเตรียมไว้ สำหรับผลกระทบเชิงลบต่อผู้สูงอายุอีกทางหนึ่งคือ ทางสุขภาวะทางจิต โดยผู้สูงอายุที่ไม่มีลูกหลานอาจรู้สึกเหงา รู้สึกโดดเดี่ยว รู้สึกไม่มีค่า และขาดการ ปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ซึ่งเป็นต้นเหตุให้เกิดโรคซึมเศร้าได้
งานวิจัยที่ทำขึ้นในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วส่วนมากจะพบว่าการก้าวเข้าสู่สังคมไร้ลูกหลานนั้นไม่มีผลกระทบเชิงลบต่อผู้สูงอายุทั้งในด้านการเงินและด้านสุขภาวะทางจิต อาทิเช่น งานวิจัยของ Plotnick (2009) ที่ศึกษาในประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่าผู้สูงอายุที่ไม่มีลูกจะมีทรัพย์สินโดยเฉลี่ยมากกว่าผู้สูงอายุที่มีลูกด้วยซ้ำ นอกจากนี้แล้วผู้สูงอายุที่ไม่มีลูก ไม่จำเป็นต้องเก็บเงินไว้สำหรับมรดกของลูกหลานจึงสามารถใช้จ่ายเงินในวัยเกษียณได้มากกว่า อีกตัวอย่างมากจาก งานวิจัยของ Hank and Wagner (2013) ที่พบว่าการไม่มีลูกหลานไม่มีผลกระทบเชิงลบต่อผู้สูงอายุในด้านการเงิน ในด้านสุขภาวะทางจิต และ การปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ดังนั้นถ้าเรา
อ้างอิงจากงานวิจัยที่ทำขึ้นในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วเพียงอย่างเดียว ก็อาจจะตีความไปว่าการก้าวเข้าสู่สังคมไร้ลูกหลานนั้นไม่ได้น่ากลัวอะไร แต่งานวิจัยที่ทำขึ้นในกลุ่มประเทศที่กำลังพัฒนา อาทิเช่น ประเทศจีน และประเทศไทย ผลการศึกษากลับเป็นตรงกันข้ามกับที่พบในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว โดยงานวิจัยส่วนใหญ่พบว่าการก้าวเข้าสู่สังคมไร้ลูกหลานนั้นมีผลกระทบเชิงลบอย่างชัดเจนต่อผู้สูงอายุทั้งในด้านการเงินและด้านสุขภาวะทางจิต อาทิเช่น งานวิจัยของ Guo, M. (2014) ที่ทำขึ้นในประเทศจีน พบว่าผู้สูงอายุที่ไม่มีลูกจะมีโอกาสเป็นโรคซึมเศร้าได้มากกว่า และรู้สึกไม่มีความสุขกับชีวิตในปัจจุบัน โดยในกลุ่มผู้สูงอายุที่ไม่มีลูกและรายได้น้อย สาเหตุหลักของความทุกข์เกิดมาจากการไม่ได้รับการดูแลทางการเงินจากลูกที่ตนเองไม่มี การได้รับการดูแลทางการเงินจากลูกเป็นสิ่งที่ผู้สูงอายุชาวจีนคาดหวังตามแบบวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของพวงเขา อีกตัวอย่างคือ งานวิจัยของ Djundeva และ คณะ (2018) ซึ่งก็ทำขึ้นในประเทศจีนก็พบว่า ผู้สูงอายุที่ไม่มีลูกจะมีสุขภาพที่แย่กว่าผู้สูงอายุที่มีลูก และมีอายุคาดเฉลี่ย (life expectancy) ที่ต่ำกว่า สำหรับในประเทศไทย งานวิจัยในด้านนี้ที่ยังมีค่อนข้างน้อยก็พบผลกระทบเชิงลบสำหรับผู้สูงอายุที่ไม่มีลูกเช่นกัน โดยงานวิจัยของ Quashie และ Pothisiri (2018) ก็พบว่าผู้สูงอายุที่ไม่มีลูกจะมีสุขภาวะทางจิตที่แย่กว่าและมีโอกาศเกิดโรคซึมเศร้าได้สูง
ดังนั้นผลกระทบจากการก้าวเข้าสู่สังคมไร้ลูกหลานนั้นอาจจะน่ากลัวกว่าที่เราคิดไว้ด้วยซ้ำ ปัญหานี้เป็นปัญหาที่มีโอกาสส่งผลกระทบเชิงลบในวงกว้างและมีความรุนแรงมากกว่าในประเทศที่กำลังพัฒนา อย่างเช่น ประเทศไทย เหตุผลหนึ่งอาจจะเป็นเพราะประเทศที่พัฒนาแล้วมีรายได้โดยเฉลี่ยที่สูงกว่า และมีสวัสดิการทางสังคมที่ค่อนข้างดีกว่ามาก อย่างที่เรามักจะกล่าวกันว่าประเทศที่พัฒนาแล้วนั้น “รวยก่อนสูงวัย” แต่ในขณะที่ประเทศกำลังพัฒนาอย่างเรา “สูงวัยก่อนรวย”
ทางออกของสังคมไร้ลูกหลานเป็นความจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้และจำเป็นต้องยอมรับว่าสังคมไทยกำลังเปลี่ยนจากสังคม “ปู่ย่าตายาย” หรือสังคม “พ่อแม่ลูก” ไปสู่สังคม “ไร้ลูกหลาน” อย่างรวดเร็ว ดังนั้นทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และ ประชาชนคนไทยทุกคนจะต้องปรับตัวเพื่อรับมือการเข้าสู่สังคมไร้ลูกหลานอย่างเร่งด่วน โดยผู้สูงวัยในอนาคตจะไม่สามารถอาศัยการดูแลของครอบครัว แต่ต้องอาศัยการวางแผนเพื่อดูแลตัวเอง ส่วนภาครัฐเองก็จำเป็นต้องเป็นที่พึ่ง(สุดท้าย)ที่สำคัญสำหรับผู้สูงอายุไทยในอนาคต นอกจากนี้แล้วการมีกลุ่มเพื่อนฝูงในวัยใกล้เคียงกันคอยช่วยเหลือซึ่งกันและกันก็น่าจะมีส่วนสำคัญในลดปัญหาการเข้าสู่สังคมไร้ลูกหลานของประเทศ (อ้างอิงงานวิจัยของ Mair (2019)
References
Plotnick, R. D. (2009). Childlessness and the economic well-being of older Americans. Journals of Gerontology Series B: Psychological Sciences and Social Sciences, 64(6), 767-776. Hank, K., & Wagner, M. (2013). Parenthood, marital status, and well-being in later life: Evidence from SHARE. Social Indicators Research, 114(2), 639-653.Guo, M. (2014). Parental status and late-life well-being in rural China: the benefits of having multiple children. Aging & mental health, 18(1), 19-29.Djundeva, M., Emery, T., & Dykstra, P. A. (2018). Parenthood and depression: is childlessness similar to sonlessness among Chinese seniors?. Ageing & Society, 38(10), 2097-2121.Quashie, N. T., & Pothisiri, W. (2018). Parental status and psychological distress among older Thais. Asian Social Work and Policy Review, 12(3), 130-143. Mair, C. A. (2019). Alternatives to aging alone?:“Kinlessness” and the importance of friends across European contexts. The Journals of Gerontology: Series B, 74(8), 1416-1428.Wongboonsin, P., Keeratipongpaiboon, T., & Wongboonsin, K., (2014) Changes in Family Composition and Care Relations in Thailand. Paper presented at International Seminar on Care Relations in Southeast Asia, organized by Human Development Studies Center, College of Population Studies, Chulalongkorn University, in cooperation with ASEAN Studies Center of Chulalongkorn University, at College of Population Studies, Chulalongkorn University, on August 27-30, 2014 เกื้อ วงศ์บุญสิน. สังคม สว. (ผู้สูงวัย). กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2549. 41 หน้า.