กรุงเทพฯ--16 มี.ค.--ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
หลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รายงานยอดขายปี 2562 รวม 11.60 ล้านล้านบาท ลดลง 2.5% และมีกำไรสุทธิ 8.66 แสนล้านบาท ลดลง 5.9% จากปีก่อน จากผลของสงครามการค้าโลกและเศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัว
นายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า หลักทรัพย์จดทะเบียนใน SET และ mai จำนวน 704 หลักทรัพย์ หรือคิดเป็น 97.1% จากทั้งหมด 725 หลักทรัพย์ (ไม่รวมกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน บริษัทในกลุ่มที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน หรือ NC และบริษัทที่แก้ไขการดำเนินงานไม่ได้ตามกำหนด หรือ NPG) นำส่งผลการดำเนินงานปี 2562 สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2562 พบว่าหลักทรัพย์ที่รายงานผลกำไรสุทธิมีจำนวน 537 หลักทรัพย์ คิดเป็น 74.6% ของหลักทรัพย์จดทะเบียนที่นำส่งงบการเงินทั้งหมด
ผลการดำเนินงานปี 2562 หลักทรัพย์จดทะเบียนใน SET มียอดขายรวม 11,604,409 ล้านบาท ลดลง 2.5% โดยมีกำไรจากการดำเนินงานหลัก (Core operating profit) 896,611 ล้านบาท ลดลง 16.5% และมีกำไรสุทธิ 866,133 ล้านบาท ลดลง 5.9% จากปีก่อน อย่างไรก็ดี ปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับผลประกอบการในช่วง 9 เดือนแรกที่ลดลง 15.4% จากปีก่อนหน้า
ผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/2562 ค่อนข้างทรงตัวเมื่อเทียบกับไตรมาส 3/2562 อย่างไรก็ดี เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2561 หลักทรัพย์จดทะเบียนมียอดขายรวม 2,870,642 ล้านบาท ลดลง 7.6% แต่มีกำไรจากการดำเนินงานหลัก 201,671 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.1% และมีกำไรสุทธิ 198,912 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39.2% กลุ่มธุรกิจที่ปรับดีขึ้น มาจากหมวดธุรกิจขนส่ง (สายการบิน) และหมวดพลังงานและสาธารณูปโภค ซึ่งเป็นผลจากสถานการณ์ราคาน้ำมันตกต่ำ ณ สิ้นปี 2561
“ในปี 2562 หลักทรัพย์จดทะเบียนไทยได้รับผลกระทบค่อนข้างมากจากสงครามทางการค้า เงินบาทที่แข็งค่าขึ้น อัตรากำไรของผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมลดลง และการลดลงของอุปสงค์ในผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี ทำให้กระทบต่อกำไรจากการดำเนินงานหลักและกำไรสุทธิปรับลดลงจากปีก่อน โดยหลักทรัพย์จดทะเบียนไทยมีอัตรากำไรจากการดำเนินงานหลักลดลงมาอยู่ที่ 7.7% เทียบกับในปีก่อนที่ 9.0% ขณะที่อัตรากำไรสุทธิลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ 7.0% เทียบกับในปีก่อนที่ 7.3%” นายแมนพงศ์ กล่าว
สำหรับฐานะการเงินของกิจการ ณ สิ้นไตรมาส 4/2562 หลักทรัพย์จดทะเบียนไทยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (ไม่รวมอุตสาหกรรมการเงิน) ปรับขึ้นมาอยู่ที่ 1.34 เท่า จากช่วงเดียวกันในปีก่อนที่ 1.30 เท่า
ปี 2562 หมวดธุรกิจที่มีผลการดำเนินงานเติบโตได้ดี คือ หมวดอาหารและเครื่องดื่มจากการขยายตลาดไปกลุ่มประเทศ CLMV และหมวดเงินทุนและหลักทรัพย์ ตามการเติบโตของสินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ และสินเชื่อบัตรเครดิต
ด้านผลการดำเนินงานของหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในปี 2562 มียอดขายรวม 185,163 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.6% มีกำไรจากการดำเนินงาน 6,760 ล้านบาท ลดลง 7.3% อย่างไรก็ดี ผลของรายการพิเศษในกลุ่มทรัพยากร ส่งผลให้ภาพรวมมีกำไรสุทธิ 9,884 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 91.9% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน