กรุงเทพฯ--24 มี.ค.--เสริมสร้าง พาวเวอร์ คอร์ปอเรชั่น
SSP เลื่อนแผนคลอดวอร์แรนต์ SSP-W1 ราคาแสดงสิทธิ 10 บาท หลังตลาดไม่เอื้อ เร่งศึกษามาตรการอื่นเพื่อสอดรับกับสถานการณ์แจ้งไม่กระทบการพัฒนาโครงการ-มีกระแสเงินสดแข็งแกร่ง ย้ำพร้อมลุยวินด์ฟาร์ม-โซลาร์ฟาร์มเวียดนามตามแผน
บอร์ด SSP ประกาศเลื่อนแผนคลอดวอร์แรนต์ SSP-W1 ที่ราคาแสดงสิทธิ 10 บาท หลังสถานการณ์ตลาดไม่เอื้อ ผลพวงการแพร่ระบาดโควิด-19 กดดันบรรยากาศการลงทุน-เศรษฐกิจ บิ๊กบอส “วรุตม์ ธรรมาวรานุคุปต์” ยืนยันไม่กระทบต่อแผนพัฒนาโครงการ เหตุมีกระแสเงินสดที่แข็งแกร่งสามารถดำเนินงานต่อไปได้แบบไม่มีสะดุด ประกาศพร้อมเดินหน้าลุยวินด์ฟาร์ม-โซลาร์ฟาร์มเวียดนามตามแผน
นายวรุตม์
ธรรมาวรานุคุปต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เสริมสร้าง พาวเวอร์ คอร์ปอเรชั่น
จำกัด (มหาชน) (SSP) เปิดเผยว่า
ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯครั้งที่ 2/2563 มีมติยกเลิก มติที่ประชุมคณะกรรมการครั้งที่ 1/2563 เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2563 ในข้อที่ 6,7,8,9 โดยขอยกเลิกการออกและเสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิ
ที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัท(SSP-W1) จำนวนไม่เกิน
230,500,000 หน่วย โดยไม่มีมูลค่าการเสนอขาย
เพื่อจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น
รวมไปถึงยกเลิกการขออนุมัติการเพิ่มทุนจำนวน 230,500,000 บาท
จากทุนจดทะเบียนเดิม 922,000,000 บาท เป็นทุนจดทะเบียนจำนวน 1,152,500,000 บาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 230,500,000
หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท
เพื่อรองรับการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิ ที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัทฯรุ่นที่ 1
(SSP-W1)
“การตัดสินใจเลื่อนออก
SSP-W1 ที่ราคาแสดงสิทธิ 10
บาทในครั้งนี้ เนื่องจากสถานการณ์ตลาดไม่เอื้อจากปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุน และกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ
โดยการยกเลิกมติดังกล่าวไม่มีผลกระทบต่อแผนการดำเนินธุรกิจในอนาคต
เนื่องจากบริษัทฯมีกระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง
พร้อมที่จะดำเนินงานต่อไปโดยไม่สะดุดเรื่องสภาพคล่องทางการเงิน ด้านภาวะตลาด
และภาวะหุ้นโดยรวม ถือว่าลงมาอย่างไม่ปกติ ซึ่งทางเรากำลังหามาตรการรองรับ”
บริษัทฯกำลังก่อสร้างโครงการพลังงานไฟฟ้าพลังงานลมกำลังการผลิต
48 เมกะวัตต์ ในประเทศเวียดนามตามแผน โดยปัจจุบันบริษัทฯมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้า
(PPA) และกำหนดขายไฟเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) ในช่วงกลางปี 2564 โดยทุกอย่างเป็นไปตามแผน
ไม่มีผลกระทบใดๆจากไวรัสโควิด-19
นอกจากนี้
อยู่ระหว่างศึกษาลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เฟส 2 ในประเทศเวียดนามเช่นเดียวกัน รวมถึงเตรียมเข้าลงทุนโครงการโซลาร์รูฟท็อปในประเทศอินโดนีเซีย
เบื้องต้นคาดกำลังการผลิต 10 เมกะวัตต์
ซึ่งจะทำการติดตั้งบนหลังคาโรงงาน โดยคาดว่าจะมีการเซ็นสัญญาสรุปภายในปี 2563 นี้
“เรายังคงมองหาโอกาสการลงทุนโรงไฟฟ้าใหม่ๆ
เพื่อไปสู่เป้าหมายกำลังการผลิตไฟฟ้า 400 เมกะวัตต์
ภายใน 3-5 ปี ข้างหน้า
จากที่ปัจจุบันขายไฟอยู่ 154 เมกะวัตต์
ซึ่งจะทำให้งบการเงินโตไปอีกมาก ในขณะที่ธุรกิจเราไม่โดนผลกระทบจากไวรัสโควิด-19
เพราะสัญญาขายไฟกับรัฐเป็นสัญญาระยะยาวทั้งหมด"